ไทยรัฐฉบับพิมพ์
ช่วงนี้สภาพอากาศในกรุงมอสโกแปรปรวนอย่างหนัก เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เรียกว่ามาครบจัดเต็มภายในวันเดียว ทำเอาผมปรับตัวแทบไม่ทัน แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ยังฟิตเปรี๊ยะเลยรับมือได้สบายๆ
เหลือเวลาอีกราววันเดียวเท่านั้น ศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย ก็จะระเบิดขึ้นแล้ว แน่นอนว่ากระแสเวิลด์คัพฟีเวอร์ ในมอสโกก็เริ่มคึกคักมากขึ้นเช่นกัน มีการประดับประดาด้วยป้ายโลโก้ฟุตบอลโลกครั้งนี้ตามถนนหนทางมากขึ้น ไม่เหมือนช่วงแรกที่มาถึง ที่เห็นแค่ตามสนามบินเท่านั้น
ต้องบอกว่าตอนนี้รัสเซียพร้อมเต็มพิกัดแล้วกับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้ายในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสนามแข่งขัน, การคมนาคม, สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างระบบรักษาความปลอดภัย ใครก็ตามที่หวาดกลัวว่าจะเกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นระหว่างการแข่งขัน รับประกันเลยว่าไม่มีแน่นอน เพราะประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่า ทุกคนจะปลอดภัยในบอลโลกที่แดนหมีขาว
ตัดฉับมาที่เกมคู่เปิดสนามของศึกฟุตบอลโลก 2018 ระหว่างเจ้าภาพ รัสเซีย ปะทะ ซาอุดีอาระเบีย ในเกมแรกของกลุ่มเอ ซึ่งจะทำการฟาดแข้งกันที่สนามลุซนิกี สเตเดียม ในวันพฤหัสฯที่ 14 มิ.ย.นี้ ท่ามกลางความคาดหวังสูงจากแฟนบอลหมีขาวทั้งมวล ที่อยากจะเห็นเจ้าภาพประเดิมสนามด้วยชัยชนะ
“หมีขาว” รัสเซีย ทีมอันดับ 70 ของโลกตามแรงกิ้งฟีฟ่า แม้จะไม่ต้องออกแรงเหนื่อยในการเล่นรอบคัดเลือก เนื่องจากเป็นเจ้าภาพของทัวร์นาเมนต์ แต่ผลงาน 6 นัดสุดท้ายในเกมอุ่นเครื่องของพวกเขาเข้าขั้นห่วยแตก เพราะไม่สามารถคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งได้เลย แพ้ไปถึง 4 เสมอ 2
รัสเซียเคยสร้างผลงานยอดเยี่ยมด้วยการทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูโร 2008 โดยทีมหมีขาวชุดนั้นมีดาราชูโรงอย่าง อังเดร อาร์ชาวิน, โรมัน พาฟลิวเชงโก และพาเวล โปรเกร็บเนียค แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์มาตลอด
ทีมชาติรัสเซียชุดนี้ มีสตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ เป็นกุนซือคุมทีม โดยเชอร์เชซอฟเข้ามาคุมทีมหมีขาวต่อจากเลโอนิด สลุตสกี ที่ไขก๊อกลาออกจากตำแหน่ง หลังพารัสเซียตกรอบแรกยูโร 2016 อย่างน่าผิดหวัง ด้วยการรั้งอันดับบ๊วยกลุ่มบี มีแค่แต้มเดียวจากการเล่น 3 นัด
แกนหลักของทีม “หมีขาว” ยังคงเป็น อิกอร์ อคินเฟเยฟ นายทวารจอมเก๋ากัปตันทีม วัย 32 ปี ที่ยืนตระหง่านเฝ้าเสา นอกจากนั้น ยังมีดาวรุ่งที่น่าจับตามองก็คือ อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน กองกลางตัวรุก วัย 22 ปี จากซีเอสเคเอ มอสโก ซึ่งถูกยกให้เป็นดาวเตะสายเลือดใหม่ที่ดีที่สุดของรัสเซียร่วมด้วย ยูริ เซอร์คอฟ, อลัน ซาโกเยฟ และฟีดอร์ สโลรอฟ กองหน้าตัวเก่งจากคราสโนดาร์
เชื่อว่าแฟนบอลรัสเซียคงไม่ได้หวังว่า ทีมชาติของพวกเขาจะคว้าแชมป์โลกบนแผ่นดินตัวเอง ขอแค่ไม่ทำให้พวกเขาขายหน้าด้วยการตกรอบแรก และผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้ายก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
ที่สำคัญ รัสเซียคงไม่อยากเป็นเจ้าภาพเวิลด์คัพรายที่ 2 ที่กระเด็นตกรอบแรก เช่นเดียวกับ แอฟริกาใต้ ในศึกฟุตบอลโลก 2010
ส่วนทางฝั่ง “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุดีอาระเบีย ปัจจุบันเป็นทีมอันดับ 67 ของโลก ผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอล โลก 2018 รอบสุดท้าย ในฐานะทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม รองจากญี่ปุ่น ในการแข่งขันรอบคัดเลือกโซนเอเชีย
แน่นอนว่า ซาอุดีอาระเบียถือเป็นคู่แข่งในนัดเปิดสนามที่เจ้าภาพรัสเซียจะประมาทไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะผลงานล่าสุดของพวกเขาถือว่าไม่ธรรมดา ด้วยการเอาชนะกรีซและแอลจีเรีย แถมยิงประตูอดีตแชมป์โลก 4 สมัยอย่างอิตาลีได้ด้วย
นับตั้งแต่ได้ฮวน อันโตนิโอ ปิซซี โค้ชชาวสแปนิช เข้ามาคุมทีม เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุดีอาระเบีย ก็มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยเกมอุ่นเครื่องนัดล่าสุด เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา พวกเขาเพิ่งแพ้ให้กับ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี แชมป์โลก 2014 แบบหวุดหวิด 1-2 หลังจากที่เอาชนะทั้งกรีซและแอลจีเรียด้วยสกอร์ 2-0 มาก่อนหน้านี้
โมฮัมหมัด อัล ซาห์ลาวี กองหน้า วัย 31 ปีจากทีมอัล นาสเซอร์ ถือเป็นนักเตะความหวังสูงสุดของทีมซาอุดีอาระเบียชุดนี้ โดยอัล ซาห์ลาวี ยิงได้ถึง 16 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดร่วมในการแข่งขันรอบคัดเลือกโซนเอเชีย
ที่ผ่านมา รัสเซียกับซาอุดีอาระเบียเคยเจอมาแค่หนเดียว ซึ่งผลปรากฏว่า “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุฯ เปิดบ้านถลกหนัง “หมีขาว” ยับเยิน 4-2 ในเกมกระชับมิตร เมื่อเดือนตุลาคม ปี 1993
แน่นอนว่า การเจอกันหนนี้ เจ้าภาพรัสเซียได้เปรียบในเรื่องเสียงเชียร์ แต่ดูเหมือนว่าซาอุดีอาระเบียจะมีฟอร์มที่เหนือกว่าเล็กน้อย
แรงกดดันจากแฟนบอลเจ้าถิ่นจะช่วยให้รัสเซียประเดิมคว้าชัยชนะในเกมเปิดสนามเวิลด์คัพหนนี้ได้หรือไม่ หรือพลพรรค “หมีขาว” จะโดนซาอุดีอาระเบียย้ำแค้นได้อีกครั้ง
อีกไม่นานได้รู้กัน...
หมวดแซม