ไทยรัฐออนไลน์
ใครที่กำลังหมดไฟในการทำงาน อยากให้ลองอ่านเรื่องราวของ “สโมกกิน โจ” โจ ณัฐวุฒิ หนึ่งในกำปั้นชาวไทยที่เคย “หมดใจ” กับอาชีพ “นักมวยไทย” ถึงขั้นหันหลังให้วงการไปนานกว่า 5 ปี ก่อนจะกลับมาผงาดเป็นพยัคฆ์ติดปีกของวงการมวยระดับโลก
วันที่ 4 มิ.ย.62 ย้อนหลังไปเมื่อสมัย “โจ ณัฐวุฒิ” หนุ่มไทยเชื้อสายลูกหลานย่าโมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เขาโลดแล่นชกมวยอยู่ตามเวทีทหารและรายการถ่ายทอดสด แม้ฝีมือดีแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ รายได้ไม่พอประทังชีวิต จึงตัดสินใจหันหลังให้วงการมวย และย้ายไปอยู่เกาะพงัน-เกาะสมุย
“สมัยผมอยู่เกาะ ผมทำงานทุกอย่างในร้านอาหารและโรงแรม ตอนนั้นรู้สึกว่าทำงานอย่างอื่นได้เงินเยอะกว่าชกมวย แต่ผมก็ยังชกมวยบ้างก็เพื่อหาเงินเท่านั้น แต่ในใจผมหมดไฟกับการชกมวยแล้วจริงๆ”
เมื่อมีคนชักชวนไปอยู่อเมริกา โจ บอกว่าไม่มีแผนอะไรในหัว รู้แต่เพียงว่าไปตายเอาดาบหน้า ภาษาอังกฤษก็ได้แค่งูๆ ปลาๆ เงินติดตัวก็มีไม่มาก ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะรู้จัก “ขุนพล เดชคำภู” อดีตนักมวยไทยชื่อดังที่ไปขุดทองเป็นเจ้าของค่ายมวยอยู่ที่เมืองแอตแลนตา แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจ
จากนั้นชีวิตในอเมริกาเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม 2556 ที่รัฐโคโลราโด เมื่อ โจ ได้งานในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนเขา จะมีนักท่องเที่ยวมาเฉพาะช่วงหิมะตก เขาทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่คนจัดเตรียมของในครัว ล้างจาน จนถึงพนักงานทำความสะอาด
“ที่โรงแรมมีร้านอาหาร บางทีผมก็ทำงานสองกะ ตอนเช้าทำความสะอาด ตอนเย็นทำร้านอาหาร งานหนักแต่เงินน้อย ช่วงซัมเมอร์ไม่มีคนมาเที่ยว ผมก็รู้สึกเบื่อๆ จึงคิดย้ายไปอยู่เมืองอื่น ผมเลยโทรหาพี่ขุนพลซึ่งอยู่แอตแลนตา แกบอกให้มาลองดูก่อน ชอบก็อยู่ ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ค่อยย้ายไป”
จากรัฐโคโลราโดสู่แอตแลนตาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โจ ณัฐวุฒิ เข้าใกล้วงการหมัดมวยอีกครั้ง ด้วยการเป็นเทรนเนอร์สอนฟิตเนสมวยไทย การออกกำลังกายเล่นเวทให้กับผู้มาเรียน
“ตอนนั้น ผมไม่ได้คิดว่าจะชกมวย แต่ไปเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้กับนักเรียน บังเอิญครั้งหนึ่งรายการไลออนไฟต์ซึ่งเป็นรายการใหญ่มากในอเมริกาช่วงนั้น เขาต้องการนักมวยเพราะมวยขาด จึงติดต่อมาทางพี่ขุนพล ผมขึ้นชกไฟต์แรกนั้นเมื่อปี 2014 โดยรู้ตัวล่วงหน้าแค่สิบวัน เจอกับนักมวยชาวบราซิลชื่อ คอสโม อเล็กซานเดร ซึ่งเขามีชื่อเสียง และผมชนะเขาได้”
“จากนั้นไฟต์ที่สอง ผมรู้ตัวล่วงหน้าแค่ 24 ชั่วโมงและต้องลดน้ำหนักอีก 10 ปอนด์ ซึ่งมันกะทันหันมาก เอาจริงๆ เวลาเหลือไม่ถึง 24 ชั่วโมง เพราะผมต้องเดินทางไปชกที่คอนเนตทิคัต เบ็ดเสร็จเหลือเวลา 10 ชั่วโมงกว่าๆ ในการทำน้ำหนัก ครั้งนั้นผมขึ้นชกกับ ฌอน คาร์นีย์ (ส.สุมาลี) ชาวแคนาดา เป็นคู่เอกของรายการซึ่งมีคนดูทั้งอเมริกา และผมก็ชนะได้อีกครั้ง”
หลังผ่านการชกครั้งที่สอง ชีวิตของ โจ ณัฐวุฒิ เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จนกระทั่งเมื่อได้มีโอกาสขึ้นชิงแชมป์ของรายการไลออนไฟต์ในรุ่น 154 ปอนด์ และทำได้สำเร็จ ผงาดขึ้นแท่นแชมป์อย่างสมศักดิ์ศรี และยังสามารถป้องกันตำแหน่งได้อย่างต่อเนื่องถึง 6 ครั้ง ควบแชมป์เส้นที่สองของรายการในรุ่น 160 ปอนด์ ซึ่งเป็นการครองแชมป์สองรุ่นในเวลาเดียวกัน
กระทั่งเดือนเมษายน 2561 เจ้าตัวเซ็นสัญญาเข้าร่วมงานกับ “วัน แชมเปี้ยนชิพ” โดยขึ้นสังเวียนแข่งขันไปแล้วหลายไฟต์ ล่าสุดเขาได้เป็นหนึ่งในกำปั้นของรุ่นเฟเธอร์เวตผู้ผ่านเข้าสู่รอบที่สอง ของการแข่งขันคิกบ็อกซิ่งทัวร์นาเมนต์สุดยิ่งใหญ่ ซึ่งมีเงินรางวัลสูงสุดในประวัติศาสตร์ของรายการถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (31 ล้านบาท)
จากวันนั้นถึงวันนี้ อดีตที่โจเคยตัดสินใจหันหลังให้วงการมวย แต่เมื่อเขาได้อยู่ถูกที่ถูกเวลา ประกอบกับได้โค้ชมากความสามารถอย่าง “ขุนพล เดชคำภู” ที่เป็นเสมือนพี่ชายคอยช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่องตลอดระยะเวลา 6 ปีในอเมริกา ทำให้เส้นทางบนสังเวียนผืนผ้าใบของ โจ ณัฐวุฒิ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และกลับมาสดใสได้อย่างทุกวันนี้.