บี บางปะกง
ประเดิม 3 แต้มได้ตามคาด สำหรับพลพรรคช้างศึกทีมชาติไทย ที่เข่นเอาชนะ ติมอร์ เลสเต ไปได้ 2-0
สกอร์อาจดูจิ๊บจ๊อยเกินไปกับทีมที่ว่ากันว่ามาตรฐานอ่อนด้อยที่สุด ในศึก ‘เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2020’ ครั้งนี้
แต่การพับสนามบุกแบบวันเวย์อยู่ข้างเดียว และมีจังหวะถล่มประตูนับครั้งไม่ถ้วน
รวมๆ แล้วผมถือว่าไม่มีอะไรเสียหายนะครับ กับการประเดิมสนามแมตช์แรกในฟุตบอลแบบทัวร์นาเมนต์ ซึ่งมักจะยากเสมอกว่าจะปรับจูนให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง
เอาเป็นว่าเกมออกสตาร์ต ไม่สำคัญเท่ากับบทสรุปสุดท้ายที่จะออกมาว่าเป็นอย่างไรกันแน่
ดังนั้นวันนี้ ผมเลยขุดสถิติเก่าๆ มาดูว่า ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน ทั้ง 12 ครั้งที่ผ่านมา ทีมชาติไทย ของเราเริ่มต้นอย่างไร และบทจบเป็นแบบไหนกันบ้าง?
ลองมาทบทวนกันดูนะครับ !!
อาเซียนคัพ หรือ “ไทเกอร์คัพ” ครั้งปฐมฤกษ์ จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ ในปี 1996 ทีมชาติไทย ประเดิมสนามนัดแรก ด้วยการถล่มชนะ ฟิลิปปินส์ 5-0 จากการซัลโวของ พิทยา สันตะวงษ์ กับ “อัลเฟรด” เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ ช่วยกันยิงคนละ 2 ประตู ส่วนอีกลูกเป็นผลงานของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
ผลจบลงด้วยการที่ทีมชาติไทยเป็นแชมป์อาเซียนทีมแรก
ไทเกอร์คัพ ครั้งที่ 2 ในปี 1998 จัดขึ้นที่เวียดนาม ทีมชาติไทย ออกสตาร์ตเกมแรก ด้วยการเสมอ เมียนมา 1-1 โดยยิงประตูได้จาก วรวุธ ศรีมะฆะ
โดยครั้งนั้นเป็นฝันร้ายของนักเตะไทย เพราะตกรอบตัดเชือกด้วยการแพ้เจ้าภาพ เวียดนาม ขาดลอย 0-3 แถมยังเจอตราบาปในเกมกับอินโดนีเซียที่ถูกขนานนามให้เป็น “ไทเกอร์คัพอัปยศ” ที่ทุกคนไม่มีวันลืมเลือน
ครั้งที่ 3 ของศึกไทเกอร์คัพ ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพเป็นหนแรกในปี 2000 โดยเกมเปิดสนาม ทีมไทยเอาชนะ เมียนมา 3-1 จากการยิงของ “ซิโก้”เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, เศกสรรค์ ปิตุรัตน์ และ สุรชัย จตุรภัทรพงศ์
สุดท้าย ทีมชาติไทย กลับมาทวงแชมป์คืนได้สำเร็จอย่างไร้ปัญหา
อีก 2 ปีต่อมา ไทยไปป้องกันแชมป์ไทเกอร์คัพ 2002 ที่อินโดนีเซีย และเปิดหัวด้วยการถล่ม สปป.ลาว 5-1 จากการกดแฮตทริกของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และ วรวุธ ศรีมะฆะ ซัดเบิ้ลอีก 2 ประตู
และ ทีมชาติไทย ป้องกันแชมป์ได้อย่างหวุดหวิด ด้วยการเอาชนะอิเหนาเจ้าถิ่นด้วยการดวลจุดโทษในรอบชิง
ทีมลูกหนังชาติไทย แชมป์เก่า วนลูปกลับมาล้มเหลวอีกครั้งในไทเกอร์คัพ ครั้งที่ 5 ที่เวียดนามกับมาเลเซียเป็นเจ้าภาพร่วมกันในปี 2004 โดยแมตช์แรก ไทย ซึ่งไปเตะที่แดนเสือเหลือง เริ่มด้วยการเสมอ เมียนมา 1-1 จากการยิงของ เทิดศักดิ์ ใจมั่น
แต่ครั้งนั้นเราไม่รอดสันดอนรอบแรก กลับบ้านมาอย่างชีช้ำกะหล่ำปลีสุดๆ
ครั้งที่ 6 ของศึกชิงจ้าวอาเซียน เปลี่ยนชื่อมาเป็น “อาเซียนคัพ 2007” โดย ไทย และ สิงคโปร์ เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ซึ่งขุนพลช้างศึก ประเดิมเจ๊ากับ เมียนมา 1-1 อีกครั้งที่สนามศุภชลาสัย โดย สุเชาว์ นุชนุ่ม ตีเสมอให้ทีมไทยในช่วงทดเจ็บ
โดยคราวนี้เรากรุยทางเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแต่อกหักพลาดท่าให้สิงคโปร์อย่างน่าเจ็บใจ
ลูกหนังชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน ครั้งที่ 7 เป็นหนแรก ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2008” ซึ่ง ไทย และ อินโดนีเซีย เป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยเกมแรก ทีมชาติไทย เปิดฉากด้วยการเอาชนะ เวียดนาม 2-0 จากการยิงของ สุธี สุขสมกิจ และ สุเชาว์ นุชนุ่ม
ซึ่งในที่สุดเรากับนักเตะเหงียนก็กลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบชิง แต่คราวนี้เป็นทัพ “ดาวทอง”ที่สมหวังได้ชูถ้วยแชมป์อาเซียนคัพเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศ
ซูซูกิคัพ ครั้งต่อมาในปี 2010 จัดขึ้นที่ อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ทีมช้างศึกภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือ ไบรอัน ร็อบสัน ยกพลไปเตะที่แดนอิเหนา และออกตัวเกมแรก ด้วยการเสมอ ลาว 2-2 จากการซัดเบิ้ลของ “โจ้ห้าหลา” ศรายุทธ ชัยคำดี
และนั่นทำให้เราล้มเหลว ตกรอบแรกอย่างไม่เป็นท่าอีกครั้ง โดยชนะคู่แข่งไม่ได้เลยทั้ง 3 เกมที่ลงสนาม
ความเจ็บปวดบนแผ่นดินชวาในครั้งนั้น ทำให้ทีมช้างศึกต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยดึงกุนซือดัง วินฟรีด เชเฟอร์ เข้ามาทำทีมใน ซูซูกิคัพ 2012 ที่ไทยและมาเซียร่วมกันจัด และผู้ช่วยของ เชเฟอร์ ในตอนนั้นก็คือโค้ชใหญ่ช้างศึกในปัจจุบัน อย่าง มาโน โพลกิ้ง นี่เอง
ทีมชาติไทย ออกสตาร์ตด้วยการเอาชนะ ฟิลิปปินส์ 2-1 จากการซัลโวของ จักรพันธ์ พรใส กับ อนุชา กิจพงษ์ศรี
ซึ่งในที่สุดเราก็กรุยทางไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศจนได้ แต่เทพีแห่งโชคไม่เป็นใจ เพราะแข้งแดนลอดช่อง สิงคโปร์ เป็นฝ่ายสมหวังคว้าแชมป์ไปครองอีกคำรบ
จนมาถึงปี 2014 บอลไทย กลับมาฟีเวอร์ชนิดระเบิดเถิดเทิง ภายใต้การคุมทัพของอดีตฮีโร่ทีมชาติ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่เข้ามาปลุกชีพช้างศึกให้ฮึกเหิมอย่างแท้จริง!!
ทีมชาติไทย ไปลุยรอบแรกศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ที่สิงคโปร์ และประเดิมเกมแรกอย่างเร้าใจด้วยการชนะนักเตะลอดช่องเจ้าถิ่น 2-1 จากการยิงของ ชาริล ชัปปุยส์ กับ มงคล ทศไกร
ก่อนที่แข้งช้างศึกของกุนซือจอมตีลังกาจะก้าวไปเถลิงบัลลังก์แชมป์อาเซียนที่รอคอยมานานกว่า 12 ปีได้อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
และความเป็นราชันย์อาเซียนของทีมชาติไทย ยังคงดำเนินต่อเนื่องไปในอีก 2 ปีต่อมาใน ซูซูกิคัพ 2016 โดยลูกทีมของ “โค้ชซิโก้” ไปเริ่มรอบแรกที่ฟิลิปปินส์ ด้วยการชนะอินโดนีเซีย 4-2 จากการยิงของ พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา และการทำแฮตทริกของ ธีรศิลป์ แดงดา
โดยทีมช้างศึกป้องกันแชมป์ได้สำเร็จโดยพิชิตอิเหนาได้อีกครั้งในเกมชิงชนะเลิศแมตช์ที่ 2 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน
กระทั่ง ซูซูกิคัพ 2018 ซึ่ง เอเอฟเอฟ ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่โดยไม่มีเจ้าภาพในรอบแบ่งกลุ่ม โดย ทีมไทย ที่มี มิโลวาน ราเยวัช เข้ามาเป็นกุนซือแทน “ซิโก้” เปิดสนามเกมแรกด้วยการยิงสลุต ติมอร์ เลสเต ด้วยสกอร์ท่วมท้นถึง 7-0 โดย อดิศักดิ์ ไกรษร ทำดับเบิลแฮตทริก ยิงคนเดียวถึง 6 ลูก ส่วนอีกประตูเป็นผลงานของ ศุภชัย ใจเด็ด
แต่ทีมไทย ก็มาจบเส้นทางแค่รอบตัดเชือก จากนำ้มือของเสือเหลือง มาเลเซีย ที่แฟนบอลทุกคนยังจำไม่ลืม
จนมาถึง ‘เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2020’ ที่เลื่อนมาจัดส่งท้ายปี 2021 ในคราวนี้ ซึ่งเพิ่งเตะเปิดสนามกันไปที่สิงคโปร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ผลปรากฏว่า ขุนพลช้างศึก ของกุนซือ มาโน โพลกิ้ง เฆี่ยนเอาชนะทีมรองบ่อน อย่าง ติมอร์ฯ ไปได้ 2-0
โดยกว่าจะได้ประตูต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังจากการซัลโวของ ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ กับ สุภโชค สารชาติ ช่วยกันซัดคนละเม็ด ให้ทีมไทยประเดิมเก็บ 3 แต้มไปได้ตามคาด
แต่นั่นคือบทเริ่มต้นในบอลชิงเจ้าอาเซียน หนที่ 13 ของทีมช้างศึก
รอดูบทสรุปสุดท้ายแล้วกันครับ ว่าที่สุดแล้ว ทีมชาติไทยของเรา จะสร้างผลงานเป็นหมู่หรือจ่า แบบไหน อย่างไร?
แหม..แค่คิด (ล่วงหน้า) ก็ตื่นเต้นแล้วจริงๆ
- บี บางปะกง -