เบี้ยหงาย
นอกเหนือจากการแข่งขันฟุตบอล ชิงแชมป์อาเซียน หลากรุ่นอายุ ทั้งชายและหญิง ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ดูเหมือนข่าวคราวเกี่ยวกับฟุตบอลไทยก็มีประเด็นที่น่าสนใจปรากฏต่อสาธารณชนขึ้นมาเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นการที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯส่งหนังสือแจ้งสโมสรสมาชิกเกี่ยวกับการจ่ายเงินสนับสนุนงวดสุดท้าย หรืองวดที่ 4 ประจำฤดูกาล 2021/2022 ให้กับทีมในไทยลีก 1-3 ซึ่งกำหนดจะจ่ายในเดือน ส.ค. เป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 50
โดยยกเหตุจากสถานการณ์โควิด–19 ทำให้ สมาคมได้รับเงินสนับสนุนลดลง และล่าช้ากว่ากำหนด หากสมาคมได้รับเงินสนับสนุนครบถ้วน แล้ว จะดำเนินการมอบส่วนที่เหลือให้กับสโมสรสมาชิกต่อไป
นั่นสะท้อนได้ชัดเจนว่ามี “ปัญหา” ส่วนงวดใหม่ที่ไทยลีกทุกระดับกำลังจะเปิดแข่งขันในฤดูกาลใหม่ 2022/2023
แน่นอนซึ่งต้องมีเงินสนับสนุนเช่นกัน และกำหนดจ่ายงวดแรกไว้แล้ว ซึ่งถ้ายึดตามข้อมูลของที่ประชุมไทยลีกเมื่อ 7 เม.ย.2565 ที่ระบุไว้ว่า งวดแรกจะจ่ายช่วงสิ้นเดือน ส.ค.2565, งวด 2 สิ้นเดือน ธ.ค.2565, งวด 3 สิ้นเดือน พ.ค.2566 และงวดที่ 4 จ่ายช่วง 1 เดือนก่อนเริ่มฤดูกาล 2023/ 2024 ประมาณสิ้นเดือน ก.ค.2566
และเงินสนับสนุนสโมสรในฤดูกาล 2022/2023 ก็จะถูกปรับลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนเดิมตามที่สภากรรมการฯได้มีการอนุมัติและแจ้งให้สโมสรทราบก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวสื่อให้เห็นว่า สภาพคล่องของสมาคมอันเนื่องมาจากสมาคมได้รับการสนับสนุนลดลง และช้ากว่ากำหนดอย่างที่ว่าไว้นั้น “เป็นปัญหา” แล้วงวดเงินในฤดูกาลใหม่ ยังจะได้รับกันตามกำหนดหรือไม่อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่สโมสรสมาชิกจะต้องเตรียมรับ เตรียมแผนไว้ล่วงหน้ากันให้ดี
อีกประเด็นที่น่าสนใจ วันก่อนมีการเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เกี่ยวกับนโยบายของท่าน ที่จะใช้นักเตะที่เกิดในปี ค.ศ.2001 (อายุ 22 ปี) ลงแข่งขันรายการที่กำหนดผู้เล่นอายุไม่เกิน 23 ปี ในทัวร์นาเมนต์ซีเกมส์และเอเชียนเกมส์ ปี 2023 เพื่อรองรับไปถึงกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส อันเป็นแนวทางที่ดี และมีหลายฝ่ายเห็นด้วย
ท่านยังแสดงวิสัยทัศน์ไว้ว่า ถ้าหากมัวแต่คิดว่าซีเกมส์ต้องชนะ หรือรายการอาเซียนต้องชนะ เมื่อถึงเวลารายการสำคัญนักเตะจะไม่มีประสบการณ์ ดังนั้น ต้องคิดใหม่ทำใหม่ สร้างทีมขึ้นมา ดูอย่างมาเลเซีย, อินโดนีเซีย หรือลาว ตอนนี้สร้างเด็กขึ้นมาดีมาก ถ้าหากไทยมัวแต่เสพติดความสำเร็จ จะโดนชาติอื่นๆแซงแน่นอน
ก่อนจะมีการอธิบายความกับคำพูดที่ติดตัว และผูกมัดกับท่าน นับแต่เข้ามาเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯไว้ว่า
“การก้าวข้ามอาเซียนในความหมายของผม ไม่ใช่ว่าต้องเป็นหนึ่งในอาเซียน แต่ แค่ลดความสำคัญลง ใช้เป็นเวทีในการพัฒนานักเตะแทน รายการที่ไม่ใช่ฟีฟ่ารับรองก็ควรจะลดความสำคัญมันลงไป”
ย้อนอดีตกันนิด ก่อนหน้าสมาคมกีฬาฟุตบอลชุดปัจจุบัน ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก้าวเข้ามาเป็นนายกตั้งแต่เดือน ก.พ.ปี 2559 ทีมฟุตบอลไทยเคยเป็นเจ้าอาเซียนอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการเป็นแชมป์ในทุกรุ่นอายุ พยายามจะถีบตัวเองขึ้นไปให้สูงในระดับเอเชีย ไปถึงการผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกโซนเอเชียไปถึงรอบ 10 ทีมสุดท้าย
และได้สิทธิ์โดยอัตโนมัติเล่นฟุตบอลเอเชียนคัพรอบสุดท้ายมาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรกคัดเพื่อไปฟุตบอลโลก 2002 ในยุคที่ ปีเตอร์ วิธ เป็นโค้ช และคัดไปฟุตบอลโลกปี 2018 (เพิ่มมาเป็นรอบ 12 ทีมสุดท้าย) ช่วง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็นโค้ช ซึ่งก็มาเกี่ยวพันคาบต่อกับช่วงที่ พล.ต.อ.สมยศเข้ามาเป็นนายกลูกหนังในต้นปี 2559
ช่วงเวลานั้นผลงานเก่าเรายังเป็นแชมป์อาเซียนที่เพื่อนอาเซียนทุกชาติยกย่องและยอมรับ แต่ช่วงการคัดซึ่งทีมไทยไม่ประสบความสำเร็จ แพ้ซาอุดี อาระเบีย 0-3 แถมบุกไปแพ้ญี่ปุ่น 0-4 ช่วง เม.ย.2560
ก่อนจะนำไปสู่การเปลี่ยนโค้ช “บิ๊กอ๊อด” ตอบคำถามผู้สื่อข่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “คำถามที่บอกว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าหัวใจคนไทยคิดอย่างไร คิดเหมือนผมไหม ถ้าบอกว่าอยู่กันไปแบบนี้ ไม่เป็นไร เป็นแชมป์ซูซูกิ แชมป์ซีเกมส์ ไประดับเอเชียแพ้ที 4-0, 3-0,2-0 ไม่เป็นไร”
ยังสำทับด้วยว่า “แต่สำหรับผม ผมอายครับ ผมทนไม่ได้ ผมรับไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้ ผมนะครับ ถ้าให้ผมงอมืองอตีนอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ แล้วก็ปล่อยให้ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 3 ปีในช่วงที่ผมทำหน้าที่อยู่ ผมลาออกดีกว่า ถ้าเป็นแล้วทำดีไม่ได้ อย่าเป็น ให้คนอื่นเขาเป็น”
ที่หยิบยกมานี้ จากประเด็น “ใครไม่อายผมอาย” เมื่อต้นปี 2560 ผ่านไปกว่า 5 ปี ไม่รู้คิดมานานรึยัง แต่เพิ่งมาขยายความต่อสาธารณชนว่า การก้าวข้ามอาเซียนของท่านคือ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นหนึ่งในอาเซียน แต่แค่ลดความสำคัญลง ใช้เป็นเวทีพัฒนาเด็ก
แถมยังมีประโยคเด็ดเพิ่มเติม “ถ้าหากไทยมัวแต่เสพติดความสำเร็จ จะโดนชาติอื่นๆแซง แน่นอน” อย่างล่าสุดทีม 19 ปีก็แพ้ลาวไป 0-2 นี่ ไม่รู้ว่าเป็นตัวอย่างได้หรือไม่
ท่านนายกอ๊อดทำสมาคมฟุตบอลเป็นสมัยที่สอง นับรวมๆก็กว่า 6 ปีแล้ว เราๆท่านๆลองถามตัวเองกันนิด เราเสพติดความสำเร็จของฟุตบอลไทยกันอยู่รึเปล่า...
“เบี้ยหงาย”