โจโจ้
เป็นไปตามคาดสำหรับผลการแข่งขัน ฟุตบอลประเพณี “จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์” ครั้งที่ 74 โดยชัย ชนะเป็นของฝั่งรั้วพระเกี้ยว ที่ได้แชมป์ดั่งสมใจนึก
ส่วนจะเป็นถ้วยแห่งความภาคภูมิใจหรือไม่ คงรู้อยู่แก่ใจ
เพราะตั้งแต่ก่อนการแข่งขันแล้วที่หลายฝ่ายคาดเดาได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่าไม่มีทางที่ลูก
แม่โดม “ธรรมศาสตร์” จะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้เพราะเมื่อรายชื่อของทั้งสองทีมที่เปิดออกมาก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจน
อย่างว่าแหละครับเมื่ออีกฝ่ายคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าต้องชนะเท่านั้น ก็คงไม่มีอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิดได้ ยิ่งมีขาใหญ่บารมีคับแก้วคอยช่วยอยู่แล้วด้วยอย่างไรก็คงไม่มีพลิกโผเป็นอย่างอื่นไปได้แน่นอน
การที่หลายสโมสรรวมหัวกันที่จะเอาเปรียบคู่แข่งด้วยการปล่อยแต่นักเตะที่ฝั่งตัวเองได้ ประโยชน์และกีดกันนักเตะฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ไปเล่นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าผลจะออกมาหน้าไหน
ถือเป็นเกมที่ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ นักเตะจุฬาฯ ล้วนบิ๊กเนมและลงเล่นในไทยลีกอย่างต่อเนื่อง ต่างจากลูกแม่โดมที่มีแต่นักเตะตัวเก๋า บางคนแทบจะเลิกเล่นเพราะอายุมาก แต่เพราะเจอความเอาเปรียบของฝ่ายตรงข้ามที่เล่นไม่ยอมให้หลายสโมสรไม่ปล่อยตัวมาแล้ว จึงทำได้แค่เอานักเตะตัวเก่ามาช่วยประคองทีม
คนทำกีฬาหากไม่รู้จักคำว่า “น้ำใจนักกีฬา” ก็อย่ามาพูดมารักกีฬาเลย เพราะกีฬาสอนให้คนรู้รักสามัคคีและใช้เรื่องของกีฬาในการสร้างมิตรภาพ เมื่อไหร่ที่ขาดคุณสมบัติข้อนี้นั้นแสดงว่าคุณยังไม่ใช่คนกีฬาที่แท้จริง
ถ้ามีเจตนาดีที่ไม่ลำเอียงต้องไม่ปล่อยทั้งสองทีมลงมาเล่น
การทำอย่างนี้เท่ากับเป็นการโยนบาปให้นักเตะ ผมไม่ได้ชี้นำนะครับ แต่อยากให้สถาบันมีมาตรการลงโทษนักเตะที่ได้ทุนแต่ไม่ลงเล่นให้กับสถาบันไปเลย จบยากหน่อยหรือไม่จบไปเลย จะได้สมใจกับผู้ใหญ่บางคนที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ผลประโยชน์ตัวเองโดยไม่คิดถึงคนอื่น
คำว่า “บอลประเพณี” ถ้าจำไม่ผิด วัตถุ-ประสงค์เพื่อให้ทั้ง 2 สถาบัน มีกิจกรรมร่วมกัน
การเดินพาเหรดล้อการเมือง บางคนก็มาพบรักกันในกิจกรรมนี้ ส่วนการแข่งขันฟุตบอลถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ทำร่วมกัน ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องผลแพ้ชนะเท่าไหร่
แต่ระยะหลังทุกอย่างเปลี่ยนไปไฮไลต์มาอยู่ที่การแข่งขันฟุตบอลเป็นหลัก คนที่มาคุมทีมต่างก็หวังแต่ชัยชนะโดยลืมคำว่า “มิตรภาพ หรือน้ำใจนักกีฬา” สปิริตที่เคยมีให้แก่กันก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง
ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ หรือศรัทธาของบอลประเพณีลดน้อยลงไป ถ้าเปรียบไปแล้วไม่แตกต่างจากการแข่งขันบอลไทยลีกมากกว่า
จริงๆแล้วควรมีการทบทวนกันใหม่หากจะใช้กีฬาฟุตบอลเป็นหัวใจหลัก ก็ควรเปิดโอกาสให้นักเตะที่กำลังศึกษาอยู่ลงเล่นมากกว่านำศิษย์เก่าที่จบไปหลายปีแต่เป็นนักไทยลีกมาเล่น
ไม่รู้ว่านักเตะไทยลีกหลายคนของทั้งสองสถาบันรู้จักตึกเรียนว่าอยู่ตรงไหนหรือเปล่า ผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้งสองสถาบันควรต้องหันหน้ามาคุยกันและหาทางออกเพื่อให้ออกมาเป็นกลางที่สุด
หากเราไม่เปิดโอกาสให้นักเตะปัจจุบันที่กำลังศึกษาอยู่ลงเล่น ลองคิดดูว่าเขาจะน้อยใจแค่ไหนเพราะผู้จัดการทีมดันไปให้ความสำคัญกับนักเตะที่ตัวเองดึงมาลงมากกว่าให้โอกาสนักเตะที่มีอยู่
แล้วแบบนี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีได้อย่างไร
อย่างที่บอกหากคุณคิดเอาเปรียบผู้อื่น แล้วชัยชนะที่ได้มาน่าภูมิใจหรือเปล่า
บอกตรงๆว่าเสียดายความรู้ที่พวกคุณมีจริงๆ อุตส่าห์เรียนถึงสถาบันมีชื่อเสียงแต่ดูแล้วมันสมองไม่แตกต่างกับคนที่เรียนสถาบันธรรมดา
เฮ่อ! คิดแล้วกลุ้มใจแทนที่มีผู้ใหญ่ใจคับแคบเต็มบ้านเมืองไปหมด.
โจโจ้