ไทยรัฐออนไลน์
เหลือเวลาอีกแค่ 3 วันเท่านั้น ก็จะเข้าสู่จุดไคลแมกซ์ ของศึกชิงเก้าอี้ประมุขลูกหนังไทย ซึ่งจะมี ขึ้นในวันพุธที่ 12 ก.พ. เวลา 13.00-15.00 น. ที่ห้องวิภาวดี บอลรูม ชั้นแอล โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
ตอนนี้ชัดเจนแล้วจะมีแค่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมคนปัจจุบัน และ “บิ๊กอู๊ด” ดร.ภิญโญ นิโรจน์ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ที่แย่งตำแหน่งกัน
ย้อนกลับไปเล็กน้อยตอนปิดรับสมัครวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา บรรยากาศเริ่มดุเดือดขึ้นมาทันที เพราะข้อบังคับสมาคมฯ กำหนดให้สำนักเลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ รับหน้าที่จัดการเลือกตั้ง เลยทำให้ผู้สมัครอีกฝั่งหนึ่ง ต่างไม่มั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม จึงเกิดเหตุการณ์ร้องเรียนต่างๆนานา

เริ่มจาก “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฯ ที่พร้อมจะกลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง แต่ต่อมาถูกตัดสิทธิ์ลงสมัคร จึงยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมต่อ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ในฐานะนายทะเบียน เนื่องจากมองว่าข้อบังคับคุณสมบัติผู้สมัครที่สมาคมฯ เขียนไว้นั้นเพื่อกีดกันตนเอง ตามด้วย “บิ๊กอู๊ด” ที่ร้องขอให้จัดคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เป็นกลาง เข้ามาดูแลแทนฝ่ายเลขาธิการ
ด้าน กกท.ที่รับเรื่องของ “บังยี” มาแล้วก็ส่งไม้ต่อให้คณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์และติดตามแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการกีฬาได้พิจารณาต่อ ซึ่งคณะชุดนี้ได้เรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาให้ข้อมูล ก่อนจะมีข้อสรุป แล้วส่งกลับ ดร.ก้องศักด เป็นผู้ชี้ขาด
ระหว่างรอการตัดสินใจจาก ผู้ว่าการ กกท. ทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้ออกหนังสือเตือนให้การเลือกตั้งหนนี้ต้องปราศจากการแทรกแซง โดยเฉพาะขั้นตอนใดๆ ที่เกิดขึ้นจาก กกท. และต้องมีตามกำหนดเดิมวันที่ 12 ก.พ. ไม่เช่นนั้นจะผิดระเบียบและมีโอกาสถูกระงับการเป็นสมาชิก
สุดท้ายแล้วเรื่องเหล่านี้จะจบอย่างไร ยังต้องติดตามกันต่อไป
ทั้งนี้ ก่อนที่จะถึงวันชี้ชะตา ทั้ง 2 ฝั่งได้แถลงเปิดตัวทีมงานกันไปแล้ว นโยบายของแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้างมาดูกัน

เริ่มที่ พล.ต.อ.สมยศ ใช้สโลแกน “MOVING FORWARD ก้าวให้ไกล ไปด้วยกัน” ชูเรื่องการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ ที่มวกเหล็ก จ.สระบุรี โดยจับมือกับกลุ่มคิง เพาเวอร์ ที่สนับสนุนเงินมา 500 ล้านบาท และย้ำว่าเอ็มโอยูที่เซ็นไว้กับคิงเพาเวอร์ อาจมีสิทธิ์จะยุติ หรือไม่สนับสนุน หากตน ไม่ได้เป็นนายกสมาคมฯอีกสมัย
สำหรับเป้าหมายในอีก 4 ปีข้างหน้า ตั้งเอาไว้ ดังนี้ 1.พาทีมชาติไทยขยับอันดับฟีฟ่าขึ้นไปอยู่ในเลขสองหลัก 2.พัฒนาการแข่งขันระดับเยาวชน ที่มีความซับซ้อนหลายองค์กรให้มีความชัดเจน
มากขึ้น 3.เพิ่มเงินรางวัลในการแข่งขันไทยลีกเพราะเงินเหล่านี้มาจากน้ำพักน้ำแรงสโมสร
นอกจากนี้ บิ๊กอ๊อดยังประกาศอย่างมั่นใจว่า มีบรรดา 50 สโมสรที่พร้อมจะเลือกให้ดำรง ตำแหน่งต่ออีกสมัย

ขณะที่ ดร.ภิญโญชูแนวคิด “CHANGE พัฒนาฟุตบอลไทยสู่บอลโลก ถึงเวลาคนฟุตบอลตัวจริง พาฟุตบอลไทย ก้าวไกลสู่ระดับโลก” จะพัฒนาระบบลีกด้วยการเพิ่มทีมไทยลีก 1 จาก 16 ทีม เป็น 18 ทีม จัดสรรเพิ่มงบสนับสนุนทีมให้มากกว่าเดิม เพิ่มเงินทีมชนะเลิศให้มากกว่า 10 ล้านบาท ส่วนลีกรองลงไปต้องทำให้กลับมาคึกคักเหมือนเก่า
ส่วนฟุตบอลทีมชาติต้องเป็นแชมป์ซีเกมส์ 2021, 2023 ส่วนเอเชียนเกมส์ต้องไปให้ถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย ด้านฟุตบอลหญิงจะพัฒนาให้มีลีกการแข่งขันเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับทีมชาติ นอกจากนี้ จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพแข่งขันฟุตบอลในระดับต่างๆ เพื่อโอกาสของทีมชาติและส่งเสริมการท่องเที่ยว

พร้อมกันนี้จะร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชนตั้งศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติทั่วทุกภูมิภาค เพราะแต่เดิมก็มีสถานที่เหล่านี้อยู่แล้ว ทั้งของ กกท. และกรมพลศึกษา เพียงนำมาบูรณาการร่วมกัน
ส่วนกรณีที่อีกฝ่ายอ้างว่ามีอยู่แล้ว 50 เสียงในมือ ทางบิ๊กอู๊ดก็ไม่สนใจ เพราะเชื่อว่าถ้าสโมสรได้ฟังนโยบายนี้จะตัดสินใจเลือก ซึ่งขอเพียง 35 เสียงเท่านั้นก็เป็นผู้ชนะ
อนาคตฟุตบอลไทยจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป น่าสนใจเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าแฟนบอลอย่างเราๆท่านๆคงทำได้แค่เฝ้าดูอย่างตื่นเต้น
เพราะผู้ชี้ชะตากรรมไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นสโมสรสมาชิกทั้ง 69 เสียง
จะตัดสินใจเลือกใคร?
พิสิฐ ภูตินันท์ เรื่อง