ไทยรัฐฉบับพิมพ์
ไทยยังคิดร่วมเสนอตัวจัดฟุตบอลโลก 2034 กับชาติอาเซียน กระทรวงกีฬา ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมข้อมูลในส่วนของไทย ไปนำเสนอในการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียนที่ฟิลิปปินส์วันที่ 9 ต.ค.นี้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ พร้อมสานฝันของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้นโยบายเอาไว้ให้เป็นจริงให้ได้ ส่วน ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท.ยอมรับไทยยังไม่มีสนามที่จะรองรับจัดเวิลด์คัพได้เลย แต่ได้เตรียมพื้นที่ที่ชลบุรี เตรียมเนรมิตสนามขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้สำหรับฟุตบอลโลก และจัดยูธโอลิมปิกไว้แล้ว ด้านกรวีร์ ปริศนานันทกุล เลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ ไม่สนเสียงวิจารณ์แฟนบอลที่เห็นว่าควรต้องทำประชาพิจารณ์ก่อน ระบุ ไม่เห็นจะมีข้อเสียอะไร
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมเตรียมการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2034 ครั้งที่ 2/2562 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย นายสุริยา จินดาวงษ์ อธิบดีกรมอาเซียน, ดร.สันติ ป่าหวาย อธิบดีกรมพลศึกษา, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล เลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เข้าร่วม ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถนนราชดำเนินนอก เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา
ที่ประชุมแจ้งถึงความเป็นมาของการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2034 รวมทั้งหลักเกณฑ์, แนวทาง และท่าทีของไทย ในการเสนอตัวครั้งนี้ พร้อมกับได้แต่งตั้งคณะทำงานสำหรับการเตรียมความพร้อมการเสนอตัว นอกจากนี้ ได้แจ้งวาระการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ 4 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 9 ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีการนำวาระเรื่องที่ชาติอาเซียนจะร่วมกันเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2034 เข้าที่ประชุมด้วย
หลังการประชุม นายพิพัฒน์เปิดเผยว่า ครั้งนี้ เป็นการประชุมเตรียมการเสนอตัวเจ้าภาพร่วมจัดฟุตบอลโลก ปี 2034 ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้ในการประชุมผู้นำอาเซียน เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการหารือเบื้องต้นว่า จะสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อทำงานร่วมกับหลายกระทรวง และได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธานใน
การไปหารือกับกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่สิ่งที่นายกฯพูดให้ได้ในปี 2034
รัฐมนตรีกีฬากล่าวว่า ไทยมีศักยภาพในการเป็นเจ้าภาพร่วมจัดฟุตบอลโลกได้ เพราะไทยเองก็เป็นประเทศแนวหน้าในอาเซียน โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาก็จะศึกษาข้อมูลก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งหลักเกณฑ์ก็จะต้องมีสนามอย่างน้อย 8 สนาม ที่มีมาตรฐานจุคนได้ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นคน ส่วนสนามที่ใช้ในพิธีเปิด-ปิด ต้องมีความจุ 80,000-100,000 คน ตามมาตรฐานใหม่ โดย 4 สนามเบื้องต้นที่จะต้องปรับปรุงก็จะมีที่สนามสมโภช 700 ปีเชียงใหม่, สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ จ.นครราชสีมา, สนามติณสูลานนท์ จ.สงขลา และสนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก โดยจะขยายความจุเป็น 40,000 ที่นั่ง หลังจากนั้น จะหาพื้นที่ในการสร้างสนามแห่งใหม่ที่มีความพร้อมและมีความจุผู้ชมมากกว่านี้ด้วย
ดร.ก้องศักดกล่าวว่า กกท.จะรับผิดชอบในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เรื่องสนามกีฬา ซึ่งตอนนี้ ไทยยังไม่มีสนามกีฬาที่พร้อมจัดฟุตบอลโลกเลย โดยมีพื้นที่ที่ทางเราตั้งใจและมีมติ ครม.ออกมาแล้วที่จะทำเป็นสปอร์ตคอมเพล็กซ์ คือที่ จ.ชลบุรี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวสามารถรองรับการจัดฟุตบอลโลก รวมทั้งพร้อมรองรับการจัดกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ 2026 ได้ในอนาคตด้วย
นายกรวีร์กล่าวว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลฯได้เข้ามาให้ข้อมูลในการเตรียมความพร้อมเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมจัดฟุตบอลโลก 2034 ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องปรับปรุงสนามและสนามใหม่ที่มีมาตรฐาน โดยถือเป็นโอกาสและจังหวะที่ดีที่เราจะได้มีสนามที่พร้อมจัดกีฬาระดับทวีป และระดับโลกต่อไป
“ส่วนกรณีที่มีแฟนบอลบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการที่ไทยจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมจัดฟุตบอลโลก 2034 ซึ่งควรจะมีการทำประชาพิจารณ์ก่อนหรือไม่นั้น ส่วนตัวก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อเสียอะไร เพราะการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ รวมทั้งสนามกีฬา ถ้าเราไม่ได้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดฟุตบอลโลก ในอนาคตก็จะนำสนามกีฬาเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในการจัดกีฬาระดับนานาชาติชนิดต่างๆต่อไปได้ในอนาคต ไม่ใช่เพียงแค่กีฬาฟุตบอลเท่านั้น เพราะตอนนี้ถือว่าสนามกีฬาต่างๆในไทยตกรุ่นไปพอสมควร จึงถึงเวลาในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันยุคสมัย” นายกรวีร์กล่าว