ไทยรัฐฉบับพิมพ์
ความเคลื่อนไหวการเป็นเจ้าภาพ ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2020 รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ของประเทศไทย ในช่วงเดือนม.ค.ปีหน้า โดยตอนนี้ เจ้าหน้าที่ของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) อยู่ระหว่างเดินทางมาตรวจสอบความคืบหน้าของสนาม แข่งขันช่วงวันที่ 20-24 ก.ย.นี้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ก.ย. ฝ่ายจัดการแข่งขันจากเอเอฟซีพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เดินทางมาตรวจสอบความพร้อมของสนามช้าง อารีนา จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเป็นหนึ่งในทางเลือก แทนสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี เช่นเดียวกับ ลีโอ สเตเดียม ของบีจี ปทุม ยูไนเต็ด และเอสซีจี สเตเดียม ของเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งเอเอฟซีเคยมาตรวจไปก่อนหน้านี้แล้วช่วงต้นปีที่ผ่านมา
หลังการตรวจสอบ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าวว่า ทุกอย่างที่เป็นมาตรฐานของเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ช้าง อารีนา มีพร้อมหมดอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่อาจจะเป็นปัญหาก็คือห้องแต่งตัวนักกีฬามีแค่ 2 เมื่อเอเอฟซีต้องการให้มี 4 ห้อง เราก็พร้อมที่จะสร้างเพิ่มให้เป็นไปตาม มาตรฐานเอเอฟซี ซึ่งทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา เต็มที่ก็ไม่เกินหนึ่งเดือนทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
ขณะที่ “บิ๊กโจ” พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ และรองโฆษกสมาคมฯกล่าวว่า ตามที่เราได้เสนอสนามแข่งขันของ 3 สโมสร ได้แก่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่จะมาแทนสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ไปนั้น ซึ่ง เอเอฟซีได้เคยมาตรวจที่บีจี และเมืองทองไปแล้ว ส่วนที่บุรีรัมย์ เอเอฟซี ยังไม่เคยมาจึงได้มาตรวจ จากนั้นวันที่ 22 ก.ย. จะไปตรวจที่สนามติณสูลานนท์ จ.สงขลา, วันที่ 23 ก.ย. สนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และวันที่ 24 ก.ย. ตรวจที่ราชมังคลากีฬาสถาน
“ส่วนในช่วงเย็นของวันที่ 24 ก.ย.นี้ จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และเอเอฟซี ซึ่งเราจะได้ข้อสรุปว่าจะใช้สนามใดแทนที่ของเชียงใหม่ แล้วก็จะได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงตามข้อกำหนดของเอเอฟซีต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของราชมังฯ, มธ.รังสิตและติณสูลานนท์ ต่างได้ให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงได้ทันตามกำหนด แต่ก็ควรจะต้องเริ่มทำทันที อย่างไรก็ตาม เอเอฟซีจะยังคงมีกำหนดมาตรวจความคืบหน้าอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้” รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศกล่าว