บี บางปะกง
ใครเป็นแฟน แมนฯยูไนเต็ด และ เมืองทอง ยูไนเต็ด
สัปดาห์นี้คงจะแฮปปี้มีความสุขชะมัด กับชัยชนะของทีมรัก ที่แซงเอาชนะคู่แข่งด้วยสกอร์ 2-1 เหมือนกันเป๊ะ
ปิศาจแดง ลงเตะในถ้วย เอฟเอคัพ โดน “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ยิงนำไปก่อนในครึ่งแรก
ก่อนที่ครึ่งหลังจะไล่ตามตีเสมอ และมาได้ประตูชัยในช่วงทดเจ็บ ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปเรียบร้อย
ส่วน กิเลนผยอง ก็โดน สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด กระทุ้งประตูไปก่อน และนำอยู่ลูกเดียว ตลอด 90 นาที
จวนเจียนจะแพ้คาบ้านอยู่รอมร่อ
แต่ เจ้าถิ่นก็มาฮึดรัวแซง 2 ลูกรวด ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีบาป พลิกสถานการณ์เก็บ 3 แต้มเข้ากระเป๋าได้อย่างเหลือเชื่อ!
ที่สำคัญฮีโร่ผู้โขกประตูชัยยังเป็นปราการหลังตัวเก๋าของทีมด้วยกันทั้งคู่
คือ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ของ แมนฯยูฯ และ อาลี ซิสโซโก้ ของ กิเลนผยอง
ส่งให้ผลงานของ เมืองทอง ทะยานสู่ท็อปโฟร์ไทยลีก อย่างน่าชื่นชมเป็นที่สุด ทั้งที่ตัวเองเตะน้อยกว่าทีมอื่นอีก 1 แมตช์อีกต่างหาก
สมแล้วที่ได้รับฉายา “เจ้าพ่อเลกสอง” ตัวจริง เสียงจริง !!
หลังจากในหลายๆฤดูกาลที่ผ่านมา มักจะเริ่มต้นออกสตาร์ทเลกแรกด้วยผลงาน “ขี้เหร่”
จนบางครั้งเกือบจะหล่นไปโซนสีแดง ซะด้วยซ้ำไป
แต่พอเลกหลังเท่านั้นแหละ กลับมาพลิกฟอร์มเร่งสปีดทำแต้มจนแซงขึ้นมาจบ “ท็อปไฟว์” ของหัวตารางอยู่เป็นประจำ
ซึ่งซีซั่นนี้ก็เช่นกัน พวกเขาออกไปปราชัยส่งท้ายปี 2 นัดรวดให้กับทั้ง กว่างโซ้งมหาภัย และ บุรีรัมย์ หวิดทำท่าจะเป๋
จนขึ้นปีใหม่ 2568 ก็คืนฟอร์มเก่ง เอาชนะคู่ต่อสู้ แบบรัวๆ แทบทุกนัด
สร้างสถิติคว้าชัยชนะเกมเหย้าติดต่อกัน 7 นัดเข้าให้แล้ว ในทุกถ้วย ทุกรายการ คือ ไทยลีก 5 นัด , เอซีแอลทู 1 นัด และ เอฟเอคัพ อีก 1 นัด
นับเป็นผลงานที่แจ่มแจ๋วแหวว ของกุนซือชาวอิตาเลียน “จิโน่ เล็ตติอารี” ที่เข้ามารับงานคุมทัพแข้งกิเลน เป็นซีซั่นแรก
ด้วยบุคลิกการทำงานที่ทุ่มเทเกินร้อย เอาจริงเอาจัง ทั้งในการฝึกซ้อมและการแข่งขันเป็นอย่างยิ่ง
ทำให้ โค้ชจิโน่ กลายเป็นขวัญใจของสาวกกิเลนได้ไม่ยาก และเขาเองก็ให้ความสำคัญกับแฟนคลับสโมสรมาเป็นที่หนึ่งเสมอ
ไม่น่าแปลกใจที่จะมีกระแสข่าว ว่าเจ้าตัวกำลังได้รับความสนใจจากสโมสรดังทางภาคเหนือ
เล็งเป้าอยากจะดึงยอดโค้ชชาวมะกะโรนีไปกุมบังเหียนทีมแทนกุนซือคนปัจจุบันที่ทำท่าจะไม่ต่อสัญญากันออกไปอีก
ซึ่งผลงานอันเข้าตากรรมการของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ในเวลานี้ นอกจากโค้ชจิโน่แล้ว
ยังต้องยกเครดิตให้ทีมงานสตาฟฟ์ ทั้ง ดานโญ่ เซียก้า , อุทัย บุญเหมาะ ฯลฯ ที่ต่างทำงานหนักอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด
รวมถึงผู้บริหารทีมที่รับผิดชอบดูแลจัดการทุกอย่างในสโมสรตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ
ทั้ง “เสี่ยเป้” รณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้อำนวยการสโมสร และ “บิ๊กป๊อก” วิลักษณ์ โหลทอง ประธานใหญ่ของทีม
จริงอยู่สถานะภาพของ เมืองทอง ณ ปัจจุบัน อาจไม่ใช่ทีมเงินถุง เงินถัง เหมือนบรรดาบิ๊กๆของเมืองไทยทั้งหลาย
แต่การที่พวกเขา ‘ทำบอลเป็น’ เน้นสร้างและส่งเสริมให้นักเตะรุ่นใหม่ของสโมสรพัฒนาฝีเท้า ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นยอดนักเตะอาชีพอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ฟอร์มการเล่นของสโมสรไม่แกว่งไปมากนัก เวลาเสียตัวหลักไปให้ทีมที่ใหญ่กว่า
เพราะสไตล์ของ กิเลนผยอง ยึดโยงด้วยระบบการเล่น โดยเฉพาะเกมรุกที่ชัดเจน ในทุกตำแหน่ง มากกว่าพึ่งความสามารถเฉพาะตัว
เมื่อหยิบใครใส่ลงไปในสนาม รูปแบบทุกอย่างจึงทดแทนกันได้หมด ด้วยระยะเวลาอันสั้น
ก็อย่างที่ บิ๊กระวิ โหลทอง ประธานใหญ่ เมืองทอง ยูไนเต็ด เพิ่งบอกกับผมว่า
พวกเราชาวกิเลน ยังยืนยัน ในแนวทางการทำทีมที่ต้องการเน้นสร้างดาวรุ่งขึ้นมาประดับวงการ
ควบคู่ไปกับความพยายามในการส่งผู้เล่นไปค้าแข้งต่างประเทศ โดยเฉพาะในลีกญี่ปุ่น อย่างต่อเนื่อง
เพื่อพัฒนาฝีเท้าและยกระดับฟุตบอลไทยให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
พี่วิ เชื่อว่า นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้ทีมชาติไทย ไปบอลโลก ได้เร็วที่สุด!
ถือเป็นโมเดลที่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ทำสำเร็จมาแล้ว ด้วยการส่งออกนักเตะของตัวเองไปเล่นอยู่ในยุโรป รวมถึงลีกชั้นนำทั่วโลก ให้เยอะที่สุด
ซึ่งหลังจบฤดูกาลนี้ เมืองทอง ก็มีแผนที่จะส่ง 2 ผู้เล่นแนวรุกของทีม คือ “เจ้าซีโฟร์” คคนะ คำยก กับ “เจ้าฟร๊องซ์” ปรเมศย์ อาจวิไล” ไปเล่นในเจลีก
ทีมอื่นอาจมีเงื่อนไข โน่น นี่ นั่น ในการที่จะส่งผู้เล่นฝีเท้าดีของตัวเอง ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในต่างแดน
แต่สำหรับ กิเลนผยอง ถ้าเด็กได้ไป แล้วส่งผลดีต่อประเทศชาติ
เราไม่เคยปิดกั้นโอกาสของพวกเค้าทุกคน...อย่างแน่นอน !!!
- บี บางปะกง -
joggingboy_be@yahoo.com