เบี้ยหงาย
กรณีของ ส.ต.ท.หญิงทำร้ายร่างกายทหารรับใช้ ซึ่งบานปลาย ไปกันใหญ่ กระทบถึงองค์กรหลัก หลายภาคส่วนของประเทศนี้ สะท้อนถึงระบบที่ล้มเหลว และไร้ประสิทธิภาพ เน่าเฟะ เป็นเรื่องใหญ่ เป็นวิกฤติ นำไปสู่คำถามที่คาใจมากมาย และที่ต้องติดตามดูกันต่อไป จะมีใครที่ต้องรับผิดชอบ มากกว่าตัวละครที่ปลายเหตุ
เรื่องทำนองนี้จะยังมีอยู่ในส่วนอื่นๆบ้างไหม หรือมันมีอยู่ในทุกกลไกของสังคม เชื่อว่าหลายคนมีคำถามในใจ และอาจจะมีคำตอบของตัวเองกันบ้างแล้ว
อย่างแวดวงกีฬาเรา ก็มีหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ แม้ว่าจะไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ละม้าย คล้ายคลึง และมีมิติในระนาบเดียวกัน เพียงแต่ไม่ผุดขึ้นมาให้เป็นประเด็นต่อสังคมหรือมีประเด็น แต่ก็ปล่อยผ่าน ละเลย ไม่อยากเปลืองตัว สุดท้ายก็ก้มหน้า ประสานประโยชน์ ผสมกลมกลืนร่วมทางกันไป
ทำให้ต้องนึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ตั้งแต่ผู้ว่าการ กกท. คนปัจจุบัน ดร.ก้องศักด ยอดมณี ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ มีการพูดถึงคน คนหนึ่งที่ถูกวางตัว หรือทำให้ตัว ถูกวาง เพื่อจะเข้าสู่ตำแหน่งทางด้านกีฬา
แน่นอน ตัวเองทำเองไม่ได้ ต้องมีแบ็ก และไม่ใช่คนเดียวที่จะบันดาลให้เกิดขึ้นได้ ต้องมีกระบวนการทำให้เป็นจริง!
ในอดีตนั้นการเข้าสู่ตำแหน่งที่ว่า เป็นแบบหนึ่ง ในลักษณะแต่งตั้งมอบหมาย และในเวลานั้น มีแต่หลักการว่าต่อไปต้องเปลี่ยนเป็นอีกแบบ แต่ยังไม่มีกฎระเบียบออกมา ไม่มีทีโออาร์ หรือคณะกรรมการใดๆที่ก่อร่างตั้งขึ้นแต่อย่างไร ยังมีแต่ความว่างเปล่า แค่ชื่อลอยมาจับจองไว้ก่อนเท่านั้น
ส่วนตัวก็เคยเขียนไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ให้รอดูอนาคต และในที่สุด จากวันที่ยังไม่มีอะไรเลย ก็มีพัฒนาการมาต่อเนื่อง จากการออกระเบียบ กำหนดคุณสมบัติ มีคณะกรรมการขึ้นมารับผิดชอบ แม้มีสะดุดช่วงหนึ่ง ก็มีการขยับใหม่ และมีเสียงร่ำลือว่าเพื่อให้ไม่ผิดด้วยเงื่อนเวลา สุดท้ายก็เป็นไปตามที่ได้ยินมาโดยไม่ผิดเพี้ยน
ไม่เพียงปัญหาปลายทางที่ตัวบุคคล แต่สิ่ง ที่ใหญ่กว่าคือความผิดเพี้ยนของระบบ กลไกที่ นำทางเข้าสู่อำนาจ ซึ่งระบบก็มาจากคน และเป็น คนที่ได้รับโอกาสมีอำนาจในชั่วพริบตา ส่วนอำนาจนั้นมาจากไหน ลองคิดกัน!!!
นี่เป็นตัวอย่าง ซึ่งรับรู้รับฟังมากับตัว ที่อาจจะนับเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” กับเรื่อง ส.ต.ท.หญิง
ยังไม่นับถึงการเปลี่ยนแปลง การขยับขับเคลื่อนเข้ามาของกลุ่มคนที่กระจัดกระจายอยู่ในแวดวงกีฬา ในกลไกต่างๆอันแตกต่างจากอดีต ซึ่งไม่ว่าใครจะมองบวก หรือมองลบก็ตาม
บนความต่างในลักษณะของ “คนละเรื่องเดียวกัน” ที่ว่านั้น ต่างก็มีจุดเชื่อมโยง ซึ่งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้น หรือปฐมบทแห่งความแปรเปลี่ยนทั้งหลาย ก่อนที่เมล็ดพันธุ์แห่งอำนาจ ส่งผ่านไปยังกลไกต่างๆของประเทศนี้ และฝังตัว ลงรากลึก ในที่สุดก็แตกหน่อสร้างกอไปในทุกจุด
แม้จะผิดเพี้ยน มาอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่ด้วย ความที่โครงข่ายแห่งอำนาจ โยงใยกระจายอยู่ ทุกส่วน ก็ย่อมก่อให้เกิดความย่ามใจ ไม่รู้ผิดชอบ เมินเฉยต่อสิ่งที่ควรไม่ควร ทำอะไรตามใจ สนองตัณหาส่วนตนได้อย่างง่ายดาย
ลองตั้งคำถาม และหาคำตอบกันดูว่า หลายหลากปัญหาที่เกิดขึ้นมันมีรากฐานมาจากการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 8 ปีก่อน ซึ่งส่งผ่านแพร่เชื้อไปยังส่วนต่างๆหรือไม่!!!
วันนั้น หลายสิ่งหลายอย่างอุบัติขึ้น แน่นอนย่อมมีจุดที่ดีและไม่ดี มีผู้ได้ประโยชน์ ได้อำนาจ และผู้เสียประโยชน์ ถูกกระทำ บ้างก็เอ่ยอ้างยกขึ้นเป็นบุญคุณต่อประเทศนี้ แต่ก็มีผู้คนมากมายเห็นตรงข้าม
สุดท้ายเราเองนี่แหละ ซึ่งใช้ชีวิตและดำรงอยู่เรื่อยมา ได้สัมผัส รับรู้ ซึมซับในมิติต่างๆ คุณหรือโทษ ไม่ต้องให้ใครบอก ตอบตัวเองกันครับ...
“เบี้ยหงาย”