เบี้ยหงาย
แม้ว่ามหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จะต้องเลื่อนการแข่งขันหนีไวรัสโควิด-19 ไปเป็นปีหน้า ปี 2021 ระหว่างวันที่ 23 ก.ค. ถึง 8 ส.ค. แต่ยังคงใช้ชื่อ “โอลิมปิก 2020” ตามเดิม
ซึ่งตอนนี้ก็ยังดีดลูกคิดคำนวณ ตัวเลขของการเลื่อนเกมกันอยู่ว่าจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมกันมหาศาลขนาดไหน โดยสื่อญี่ปุ่นอ้างอิงจากนักวิชาการของมหาวิทยาลัยคันไซ ระบุประมาณการไว้ที่ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกเหนือจากงบที่ใช้จัดราว 12,600 ล้านเหรียญ เป็นเงินไทยเท่าไหร่ลองเอา 32.7 โดยประมาณคูณเอา
ถึงจะเลื่อนไปแข่งอีกราวๆ 15 เดือนข้างหน้า แต่สื่อญี่ปุ่นเองก็ยังเล่นข่าวที่บางฝ่ายมีความเป็นห่วงว่าจะยังจัดกันได้หรือไม่
หากโลกยังไม่มีเซรุ่มต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ออกมาอย่างเป็นการเฉพาะ บ้างก็ชี้ว่าถึงสถานการณ์จะเบาลงมาก แต่หากไม่มีวัคซีน ก็ยังจะทำให้การจัดการแข่งขันไม่ราบรื่น และมีประเด็นที่ต้องสร้างความมั่นใจในแง่มุมต่างๆ กระทั่งคณะกรรมการฝ่ายหมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิกเอง ก็คาดว่า อาจจะต้องจัดให้นักกีฬาต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่นล่วงหน้า 4-6 สัปดาห์ก่อนแข่ง เพื่อมากักตัว 14 วันในสถานที่แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าพักยังหมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิกอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ ก็เพื่อให้หมู่บ้านโอลิมปิกปลอดเชื้ออย่างเด็ดขาด
แต่ทั้งหมดต่างชี้ว่า “วัคซีน” เท่านั้นที่จะทำให้โอลิมปิก 2020 แข่งขันได้อย่างราบรื่น แต่กว่าจะถึงตรงนั้นก็ยังเร็วเกินไปที่จะมากังวลกันว่า โอลิมปิก 2020 จะต้องเลื่อนกันอีกรอบหรือไม่
นี่คือสถานการณ์ของโอลิมปิกเกมส์กับวิกฤติไวรัส ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังมีความคลางแคลงใจ และเปราะบางอยู่พอควร ทั้งๆที่การแข่งขันจริงยังอยู่อีกนานถึง 15 เดือนข้างหน้า!
เมื่อเกมเลื่อนไป บวกกับภาวะอันไม่ปกติของชาวโลก รวมถึงชาวไทยยามนี้ ซึ่งกำลังสู้รบกับโควิด-19 ทั้งทางตรงที่ต้องแสวงหาวัคซีนและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการป้องกันต่างๆ และในทางอ้อมที่เชื้อนี้ทำลายสังคม ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำลายอาชีพ และการทำงาน หาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของผู้คน ยิ่งนานวันยิ่งย่อยยับ
ทั้งร่างกายและจิตใจ อันเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ
ในอีกมุมหนึ่งของเกมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่จะมีการถ่ายทอดสดให้ได้ชมกัน มีการซื้อสิทธิ์กันมาล่วงหน้า เป็นการทำธุรกิจของเอกชน และซื้อหามาด้วยราคาที่สูงยิ่ง ประเทศไทยเราไม่รู้ว่าเป็นประเทศเดียวในโลกหรือไม่ ที่ภาครัฐใจดี ใจป๋า ช่วยกันลงขัน โดย กกท. และ กสทช. ควักกันหน่วยงานละ 240 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 480 ล้านบาท
ถือเป็นความโชคดีของคนไทยที่จะได้ดูกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันมีนักกีฬาไทยได้สิทธิ์ไปแข่งแล้ว 17 คน อยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสอีกจำนวนหนึ่ง ประมาณไว้รวมราวๆ 45 คน อันเป็นเป้าหมายสูงสุด ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าหากคิดเป็นเวลาที่คนไทยจะได้เห็นนักกีฬาไทยลงแข่งขันด้วยความภาคภูมิยิ่งแบบสดๆนั้นจะมีมากน้อยแค่ไหน
และต้องถือเป็นความโชคดีอย่างมหาศาลของเอกชนที่ไปซื้อสิทธิ์มา ด้วยปิดประตูขาดทุน คงไม่มีบริษัทไหนทำได้ หากไม่มีเงินภาครัฐ 480 ล้านมาเป็นทุน น่าทึ่งที่เอกชนเจ้านี้มองการณ์ไกล แม่นเหมือนตาเห็น แม้เสี่ยงก็ยังยอมขาดทุนมหาศาลไปเอาสิทธิ์มา ก่อนภาครัฐจะเข้ามาอุ้ม เบิกเงินก่อนได้ด้วย ได้บริหารสิทธิ์ไป ซึ่งก็ไม่รู้มีค่าธรรมเนียมการบริหารเท่าไหร่อย่างไร
รวมถึงข้อตกลงในการหาโฆษณาเป็นเช่นไร แบ่งกันหรือไม่ ไม่งั้นเราคงจะไม่ได้ดูนักกีฬาไทยราวๆ 45 คนที่คาดหวัง และนักกีฬาชาติอื่นนับหมื่นคนลงแข่งขัน
กีฬาโอลิมปิกก็เลื่อนไปแล้ว จะเกิดขึ้นในอีก 15 เดือนโน่น และสภาพบ้านเมืองยามนี้ผู้คนต่อสู้ ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด นักกีฬาเอง คนกีฬาเอง
ก็เดือดร้อนกันทั่วหน้า ร้องหาการเยียวยากันอยู่ ตอนนี้ก็ได้ยินเรื่องแปลกๆมา ไม่น่าเชื่อว่าลิขสิทธิ์โอลิมปิกจะมาเดือดร้อน ต้องดิ้นรนไปกับเขาด้วย ถึงกับมีการเร่งรัดจะขอเงินไปจ่ายกันในภาวะเช่นนี้
ต้องวัดใจประธานบอร์ดการกีฬาฯ และประธานบอร์ดกองทุนฯ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถ้าขอมา จะกล้าจ่ายกันจริงๆหรือ...
“เบี้ยหงาย”