Lemon Juice
ไม่รู้ว่าจะช้าไปหรือเปล่า ถ้าจะขออนุญาตพูดถึงผลงานของทัพนักกีฬาไทย ในศึกซีเกมส์ 2019 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเพิ่งจะรูดม่านปิดฉากกันไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
มองผลงานตามหน้าเสื่อ ก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่าไทยเข้าป้ายมาในอันดับ 3 ของตารางเหรียญทอง เก็บไปทั้งสิ้น 92 ทอง, 103 เงิน และ 123 ทองแดง เก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ประเมินกันไว้ก่อนหน้านี้ราว 10 เปอร์เซ็นต์
จะพูดไปก็ค่อนข้างน่าเสียดาย ที่ในวันแรกๆ นักกีฬาไทยออกสตาร์ตกันช้าไปหน่อย ยังป้วนเปี้ยนอยู่เฉียดสิบ ขณะที่เวียดนามกับฟิลิปปินส์เจ้าภาพ โกยกันไปหลัก 20 ทองกันแล้ว
แต่ก็ยังดีที่พอตั้งตัวติด ไทยก็โกยทองแบบไม่คิดชีวิต เก็บเพิ่มได้วันละ 16-18 เหรียญเป็นอย่างต่ำ บางวันพุ่งสูงไปหลัก 20 กลางๆ จนกระทั่งมาจบที่ 92 เหรียญทองในที่สุด
ถามว่าผลงานแบบนี้น่าผิดหวังไหม บอกเลยว่าในแง่สถิติมันก็น่าช้ำใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้ามองในแง่ขององค์ประกอบโดยรวม และบริบทมาตรฐานของเจ้าภาพ ซึ่งจัดการแข่งขันได้แค่นี้ ก็น่าพอใจได้ในบางแง่มุม
ถามว่ากีฬาไทยต้องใช้คำว่า “ตกต่ำ” หรือเปล่า??? ไม่น่าถึงขนาดนั้นหรอกคนดี แต่อะไรหลายอย่างที่กล่าวมาแล้วในขั้นต้น มันเป็นตัวบั่นทอนให้เราเดินไปไม่ถึงเป้าเท่านั้นเอง
ลองไปดูสถิติย้อนหลังก็ได้ครับ ถ้าชาติไหนเป็นเจ้าภาพ พวกเขามักจะโกยเหรียญในกีฬาประเภทที่ใช้สายตาตัดสินแบบเป็นกอบเป็นกำ เช่น ลีลาศ, มวยสากล/มวยไทย, ยิมนาสติก, ปันจักสีลัต, วูซู(ยุทธลีลา) รวมไปจนถึงกีฬาเอ็กซ์ตรีม เป็นต้น
นี่ยังไม่รวมกีฬาพื้นบ้านบางอย่าง ที่มีแค่ในอาเซียน ซึ่งเจ้าภาพพยายามล็อบบี้ชาติสมาชิกอย่างหนัก เพื่อให้ได้เสียงที่มากพอ สำหรับการจัดชิงชัย
แต่ก็อย่างว่า สัจธรรมที่หลายคนรู้และเข้าใจดีอยู่แล้วว่า “ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้า” ทุกอย่างมีขึ้นมีลงเสมอ เช่นเดียวกับกีฬาของไทย ที่หลายประเภทกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือบางประเภทก็กำลังต้องการคนมาจุดกระแสให้ติดอีกครั้ง
ยกตัวอย่าง ถ้าใครอยู่ในช่วงอายุราว 30 กลางๆ คุณจะรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ที่เห็น เวียดนาม กับ สิงคโปร์ โกยเหรีญทองว่ายน้ำกันแบบเป็นล่ำเป็นสัน
เพราะถ้าย้อนกลับไปราว 10-15 ปีก่อน ไทยคือหนึ่งในเต้ยที่ครองเจ้าสระมาอย่างยาวนาน เราจะคุ้นหูกับชื่อของ “หนูแหวน” ประพาฬสาย มินประพาฬ, “เงือกโอ” ชลธร วรธำรงค์, “เงือกเล็ก” ระวี อินทพรอุดม, “ฉลามณุก” รัฐพงศ์ ศิริสานนท์ หรือแม้แต่คู่พี่น้อง ต่อลาภ-ต่อวัย เสฏฐโสธร กันดี
สมัยก่อนได้ต่ำกว่า 7-8 เหรียญทองถือว่าแย่แล้ว แต่ตอนนี้ได้มา 1-2 ทอง สมาคมว่ายน้ำก็แทบจะปิดซอยเลี้ยงกันไม่ทันเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น ผมเองก็ยังเชื่อว่าวงการว่ายน้ำไทย จะกลับมาคึกคักอีกครั้งในไม่ช้า และกลับไปท้าชิงความเป็นเจ้าอาเซียนในเร็วๆ นี้ด้วย
ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมเชื่อว่า กีฬาไทยไม่ได้ล้มเหลวอย่างที่หลายคนเข้าใจ คือผลงานในระดับสูงของไทยเหนือกว่าชาติร่วมอาเซียนเยอะเลย
ทั้งในเอเชียนเกมส์ หรือ โอลิมปิกเกมส์ ไทยยังคว้าเหรียญทองเหนือกว่าทั้ง เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ ฟิลิปปินส์ เป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นก็อย่างที่บอกว่า “กีฬา” มันมีขึ้นและมีลง ไม่มีใครอยู่ครองความเป็นหนึ่งแบบค้ำฟ้าหรอก แต่ในเมื่อมันลงแล้ว ก็ต้องพยายามหาทางกลับขึ้นมาใหม่ให้เร็วที่สุด
จะหาว่าผมเป็นคนโลกสวย หรือหลังบ้านมีทุ่งลาเวนเดอร์เป็นร้อยๆ เอเคอร์ก็ได้ แต่อย่างน้อยความผิดหวังของนักกีฬาหลายคนในครั้งนี้ น่าจะช่วยย้ำเตือนสติ และช่วยเติมเชื้อไฟให้กับพวกเขาได้ไม่มากก็น้อย ให้เร่งถีบตัวกลับมาสู่จุดที่ควรอยู่อีกครั้ง.
-LEMON JUICE-