โจโจ้
พูดถึงวงการจักรยานไทยถ้ามองย้อนกลับไปยุคที่ฮอตน่าจะเป็นช่วงที่มี “พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค” เป็นนายกสมาคม ตอนนั้นผลงานของทีมสองล้อไทยถือว่าโดดเด่นอย่างมาก โดยเฉพาะในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 5 ที่กรุงเทพฯ
เอเชียนเกมส์ครั้งนั้น “ปรีดา จุลละมณฑล” ถือเป็นนักปั่นประวัติศาสตร์ของจักรยานไทยที่คว้าได้ถึง 4 เหรียญทอง
จากนั้นเป็นต้นมาทีมสองล้อไทยในยุคของนายกแต่ละคนก็เพียรพยายามสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างต่อเนื่องมาตลอด เพียงแต่ยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร โดยเฉพาะในทัวร์นาเมนต์นานาชาติ ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง
ถึงวันนี้ในยุคที่มีชื่อ “เสธ.หมึก” พล.อ.เดชา เหมกระศรี นั่งเป็นประมุขสองล้อ ความสดใสไฉไลของจักรยานไทยเริ่มกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง สามารถสร้างผลงานได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในทัวร์นาเมนต์นานาชาติ
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากความใส่ใจของ “เสธ.หมึก” ที่ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้นักปั่นไทยก้าวไปถึงเป้าหมาย
เมื่อบวกกับความทันสมัยของเทคโนโลยีและมีการนำเรื่องของวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้ทำให้นักปั่นมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ที่สำคัญการส่งนักปั่นไปตระเวนแข่งที่ยุโรปอยู่ตลอดซึ่งมีมาตรฐานการแข่งขันสูง และทำผลงานดีอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนไปเข้าตาของศูนย์ฝึกจักรยานโลก (WCC) ของสหพันธ์จักรยานนานาชาติ หรือยูซีไอ ที่สวิตเซอร์แลนด์
ส่งผลให้นักจักรยานไทยได้มีโอกาสไป
เก็บตัวฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องเหมือนอย่าง “นาตาลี ปัญญาวัน และวรินทร เพ็ชรประพันธ์” ที่กำลังไปชุบตัวในอีกไม่กี่เดือน
การไปเก็บตัวที่ศูนย์ฝึกจักรยานโลกเป็นผลดีกับวงการจักรยานไทย นอกเหนือจากทั้งสองคนจะได้รับการฝึกทักษะขั้นสูงแล้ว ยังถือเป็นการเสริมประสบการณ์นักปั่นได้เป็นอย่างดี
ไม่ใช่แค่ 2 นักปั่นข้างต้นทั้ง “ทีเจ” จาย อังค์สุธาสาวิทย์ วรยุทธ คะปัญญา และจตุรงค์ นิวันติ ก็กำลังจะไปเก็บตัวฝึกซ้อมกับศูนย์ฝึกจักรยานโลกยาวตั้งแต่เดือน มี.ค.เป็นต้นไป
ทั้งหมดทั้งมวลถือเป็นแนวทางการพัฒนานักปั่นอย่างยั่งยืนโดยมีเป้าหมายหลักความสำเร็จในเกมใหญ่อย่างเอเชียนเกมส์ และการได้โควตาไปลุยโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ญี่ปุ่น
ต้องยอมรับว่าการปูทางของ “เสธ.หมึก” ให้กับวงการสองล้อไทยตั้งแต่เข้ามานั่งบริหารงาน ถือเป็นแนวคิดที่ถูกต้อง
วันนี้สิ่งต่างๆกำลังเริ่มออกดอกออกผลเพื่อให้เก็บเกี่ยวอย่างไม่มีวันหมด
เหมือนในเอเชียนเกมส์ที่ “จาย” ผงาดคว้าเหรียญทองให้กับทัพนักปั่นไทยมาแล้ว.
โจโจ้