เบี้ยหงาย
เรื่องของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2018 ที่เมืองไทยยังไม่มีเจ้าภาพ ซึ่งจะแข่งกันในอีกราวๆ 5 เดือนข้างหน้า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน
ทั้งๆที่มีการออกข่าวกันมาตลอด เป็นคุ้งเป็นแคว เป็นเรื่องเป็นราว และน่าสนใจที่เป็นการออกข่าวจากภาครัฐเสียเป็นส่วนใหญ่ แทบไม่มีเอกชน หรือพูดได้ว่ายังไม่เคยได้ยินเอกชนรายใดแย้มปากออกมาถึงการอยากซื้อ เข้าซื้อ และมีความมุ่งมั่นในการถ่ายทอดสด
เอกชน เงียบกริบ แต่รัฐส่งเสียงดัง!
รัฐที่ว่านั้น มาจากการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยท่านผู้ว่าการ สกล วรรณพงษ์ และคนเสียงดังอย่างรองนายกรัฐมนตรี, รมว.กลาโหม, ประธานบอร์ดการกีฬา และประธานคณะกรรมการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งเป็นคนเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ !
ซึ่งท่านยืนยันว่า ได้ดูกันฟรีๆและครบถ้วนแน่ โดยรัฐจะเป็นผู้เชื่อมกับเอกชน ไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งระบุว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทราบในปัญหานี้แล้ว
แต่ที่ออกมาให้ความเห็นล่าสุดนั้นน่าสนใจเหลือเกิน โดย รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ซึ่งออกจะแตกต่างจากท่านอื่นๆของภาครัฐ
รมต.วีระศักดิ์ ท่านพูดตามที่มีการนำเสนอในสื่อต่างๆ ระบุว่า อยากให้มีการถ่ายทอดสด แต่ปัญหาคือ เป็นหน้าที่ของกระทรวงฯหรือไม่ ที่จะเป็นเจ้าภาพดำเนินการ หากมีการใช้เงินของรัฐลงไปจะผิดหรือไม่ เรื่องนี้มีแต่พูดกันไป พูดกันมา ยังไม่มีใครเอาเอกสาร ข้อเท็จจริง มากางดู มาศึกษาอย่างจริงจังว่าค่าลิขสิทธิ์ขายกันอย่างไร เท่าไหร่ และไทย จะซื้อหรือไม่ จะซื้อยังไง รูปแบบไหน ยังไม่มีความชัดเจนอะไรเลย
นี่คงจะเป็นความเห็นที่เป็นจริงเป็นจังมากที่สุด และดูจะเข้าอกเข้าใจในสถานการณ์และข้อเท็จจริงมากที่สุด ก็ต้องไม่ลืมว่า รมต.วีระศักดิ์นั้น เป็นนักกฎหมาย คิดเป็น ย่อมมีความรอบคอบ
ใครๆก็อยากดูบอลโลก เรื่องนี้ไม่มีใครสงสัย หรือข้องใจ!
แต่การได้ดูบอลโลกที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต้องได้ดูจากช่องทางของธุรกิจ ด้วยลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกเป็นเรื่องของธุรกิจล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องการกุศล สาธารณประโยชน์ หรือเป็นวาระแห่งชาติ
ภาครัฐเองรึเปล่าที่มาทำให้กลไกในส่วนนี้ เบี่ยงเบนไป โดยเฉพาะกฎมัสต์แฮฟ หรือการกระโดดเข้ามาจะเป็นผู้ดำเนินการเสียเอง บ้านเมืองยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกเยอะ ประชาชนยังเดือดร้อนอยู่มาก
อยากช่วยก็มีช่องทางอื่นๆให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี ค่าเวลาและจัดสรรเวลาในเครือข่ายโทรทัศน์ของรัฐ ค่าธรรมเนียมในการรับสัญญาณดาวเทียม หรือมีนโยบายให้เครือข่ายรัฐวิสาหกิจที่มีผลกำไรที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันเป็นปกติอยู่แล้ว พิจารณาให้น้ำหนักในส่วนนี้มากขึ้นก็ว่ากันไป
แต่ก็น่าแปลกใจที่ต้นตอปัญหาหนึ่งคือ
“กฎมัสต์แฮฟ” ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และก็ไม่ใช่แก้เพื่อครั้งนี้ เพราะเวลาอาจไม่ทัน ต้องแก้เพื่อครั้งต่อๆไป
ถ้าจะคิดว่า ทำไว้เผื่อบอลไทยไปบอลโลก ก็สามารถแก้ไขเปิดช่องกำหนดเอาไว้ได้ แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่ต้องดูฟรีแบบสดๆครบทุกนัด
อยากดูบอลโลก แต่ไม่ได้อยากดูเพราะใช้เงินรัฐ
บอลโลกต้องเอกชน ขอผู้มีอำนาจแค่กระซิบชี้ชวนกันนิด เชื่อว่าจะมีอัศวินม้าขาวกระเป๋าหนัก พาคนไทยดูบอลโลกแน่นอนครับ...
“เบี้ยหงาย”