ไทยรัฐออนไลน์
“ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลาดท่าแพ้ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล คาบ้าน และนี่คือ 4 ประเด็นสำคัญที่ได้เห็นจากเกมนี้
1. รูปเกม
เปิดฉากครึ่งแรก อาร์เซนอล ไม่รอช้าพยายามเปิดเกมรุกใส่เจ้าถิ่นอย่างต่อเนื่อง ช่วยกันเพรสซิ่งไล่บี้แย่งบอลด้วยความมุ่งมั่น ทำเอาปิศาจแดงตั้งตัวไม่ติด แต่จังหวะสุดท้ายได้แค่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา กระทั่งนาทีที่ 21 เป็นยูไนเต็ดที่ได้ลุ้นแบบจริงๆ จังๆ เมื่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด จ่ายบอลไปให้ เมสัน กรีนวูด ตะบันด้วยซ้ายในเขตโทษ แต่ แบรนด์ เลโน ปิดเสาแรกเซฟออกไปได้ จากนั้นนาทีที่ 39 ปืนใหญ่ ก็น่าขึ้นนำสุดๆ เมื่อ วิลเลียน ซัดไปชนคานเต็มๆ ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 0-0 จากนั้นครึ่งหลัง แมนยูฯ แก้เกมมาดี ครองบอลเหนือกว่าทีมเยือนอย่างชัดเจน แต่อยู่ดีๆ นาทีที่ 69 แมนยูฯ ดันมาเสียจุดโทษ และเป็น ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง สลัดความฝืดสังหารเข้าไปตุงตาข่ายกลายเป็นประตูชัยของปืนใหญ่ในเกมนี้ 1-0
2. กองกลางแมนยูฯ เป็นรอง อาร์เซนอล
ต้องยอมรับว่าเกมนี้ กองกลางของอาร์เซนอล เหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ โธมัส ปาร์เตย์ ดาวเตะเจ้าของค่าตัว 40 ล้านปอนด์ ที่อาร์เซนอลเพิ่งซื้อมาจาก แอตเลติโก มาดริด ในช่วงซัมเมอร์นี้ โชว์ฟอร์มได้สุดยอดมากๆ ทั้งเกมรับและเกมรุก เรียกได้ว่าครบเครื่องสุดๆ ขณะที่ โมฮาเหม็ด เอลเนนี ก็คอยช่วยไล่เก็บกวาดได้เป็นอย่างดี ทำเอา 2 มิดฟิลด์ฟอร์มแรงของยูไนเต็ดอย่าง เฟร็ด และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ดูดร็อปไปเลย
3. ป็อกบาพลาดหนักมาก
จริงๆ ช่วงเริ่มครึ่งหลังมา รูปเกมของยูไนเต็ดเริ่มกลับมาดีแล้ว ครองเกมเอาไว้ได้หมด แต่ทำไปทำมายูไนเต็ดต้องมาเสียจุดโทษจากจังหวะที่ พอล ป็อกบา ทะเล่อทะล่าไปเตะขา เฮคตอร์ เบเยริน จนร่วงลงไป ผู้ตัดสินให้จุดโทษทันทีโดยไม่ต้องดู VAR เพราะมันเข้าตากรรมการสุดๆ และเป็น โอมาเมยอง ยิงเข้าไปเป็นประตูชัยในเกมนี้ โดยหลังจบเกม ป็อกบา ได้ออกมายอมรับตัวเองไม่ควรเสียบพลาดจนทำให้ทีมต้องเสียจุดโทษแบบนี้
4. สถิติไม่น่าจดจำของแมนยูฯ
จากความพ่ายแพ้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในครั้งนี้ ทำให้ยูไนเต็ดพ่ายแพ้ต่อ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ในเกมพรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2006 นอกจากนี้ ปิศาจแดง ยังทำสถิติไม่ชนะใครในการเล่นลีกสูงสุด 4 นัดแรกในโอลด์ แทรฟเฟิร์ด เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ซีซั่น 1972-1973 อีกด้วย
*PUNABBEY*