ไทยรัฐฉบับพิมพ์
หลังจากรอแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษมาเนิ่นนานสุดท้ายก็ปิดฉากการเฝ้ารอมาตลอด 30 ปีกันซักทีสำหรับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019–2020 มาครองได้สำเร็จ ถือว่าเป็นแชมป์ลีกสูงสุดใบที่ 19 ที่ลิเวอร์พูลทำได้นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา 128 ปี
ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้ายในชื่อดิวิชัน 1 ในฤดูกาล 1989-1990 ซึ่งในตอนนั้นถือว่า “หงส์แดง” คือเบอร์ 1 ของลีกอังกฤษ เพราะครองแชมป์มากที่สุดถึง 18 สมัย ไม่มีใครทัดเทียมได้
แต่หลังลีกสูงสุดเปลี่ยนชื่อเรียกจากดิวิชัน 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลยังไม่เคยได้เถลิงแชมป์มาครองอีกเลยนับนิ้วได้ก็ 30 ปีพอดี
ก่อนหน้านี้มีโอกาสที่ “หงส์แดง” จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ก็คือในฤดูกาล 2013-2014 แต่ในโค้งสุดท้ายลิเวอร์พูลพ่ายให้กับเชลซี 0-2 ที่เกมนี้มาพร้อมช็อตลื่นประวัติศาสตร์ของสตีเวน เจอร์ราร์ด จนทำให้เสียประตู จากความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ทำคะแนนแซงและปาดหน้าคว้าแชมป์ไปครองอย่างน่าเจ็บใจบรรดา “เดอะ ค็อป”
ต่อจากนั้นมาอีก 1 ปี ในวันที่ 8 ตุลาคม 2015 ปฐมบทใหม่ของลิเวอร์พูลก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อเจอร์เกน คลอปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมันได้ก้าวเข้ามาคุมทัพในถิ่นแอนฟิลด์ หลังฝากผลงานการพาดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 ปีติด ท่ามกลางยุคสมัยบาเยิร์น มิวนิก ครองลีกเมืองเบียร์ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน
คลอปป์ค่อยๆสร้างทีมขึ้นมา ปรับเปลี่ยนทีมทีละเล็กละน้อยเพื่อให้เข้าที่เข้าทางที่สุด โดยเฉพาะการวางตัวของคลอปป์นั้นไม่เป็นเหมือนเจ้านายกับลูกน้อง แต่เหมือนพี่ชายกับน้องๆมากกว่า ที่พร้อมจะเฮไปกับชัยชนะและพร้อมจะร้องไห้ไปกับลูกทีม ซึ่งจุดนี้เรียกว่าได้ใจบรรดาแข้งลิเวอร์พูลกันไปเยอะเลยทีเดียว
เท่านั้นยังไม่พอ คลอปป์ยังทำให้ห้องแต่งตัวของลิเวอร์พูล เป็นสถานที่ที่พูดคุยกันเคลียร์ใจให้กันและกัน ใครมีปัญหาอะไรอย่าเก็บไว้พูดมันออกมาให้หมดต่อหน้าทุกคน เช่นกรณี ซาดิโอ มาเน กับ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่ช่วงหนึ่งตกเป็นข่าวมีปัญหากันเนื่องจากซาลาห์ไม่ส่งบอลให้มาเน
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งคู่ก็เคลียร์กันในห้องแต่งตัว ซึ่งทุกอย่างก็จบออกมานอกสนามก็เพื่อนกันเหมือนเดิม

นอกจากนั้นคลอปป์ยังทำให้ทีมเป็นทีมไม่มีใครเหนือกว่ากัน ไม่มีใครรับหน้าที่ซุปเปอร์สตาร์ของทีมนำหน้าเพื่อนร่วมทีมหรือได้อภิสิทธิ์ที่เหนือกว่าไม่ว่าจะเป็นเวอร์จิล ฟาน ไดก์ ที่ย้ายมาค่าตัวสุดแพงซาลาห์ ที่ยิงเยอะจนเป็นดาวซัลโว หรือมาเนที่ฟอร์มร้อนแรง
รวมถึงนักเตะคนอื่นๆทั้งนักเตะเก่านักเตะใหม่ รุ่นใหญ่รุ่นเล็กต่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยกันเล่น ช่วยกันวิ่ง พร้อมจะชนะไปด้วยกัน เมื่อแพ้ก็แพ้ด้วยกันไม่มีโทษใครคนใดคนหนึ่ง
สิ่งต่างๆที่คลอปป์สร้างขึ้นมานั้นเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเมื่อต้องมาเจอกับนักเตะที่มีอีโก้สูงๆ แต่สุดท้ายกุนซือวัย 53 ปี ก็เอาอยู่
อย่างไรก็ตาม คลอปป์ก็ผ่านการเจ็บช้ำมามากพอตัวเช่นกันกับลิเวอร์พูล หลังพาทีมเข้าชิง 3รายการแรก ก็รับบทพระรองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรองแชมป์เอฟเอคัพ, รองแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และรองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เช่นเดียวกับฟอร์มในลีกที่ไม่ค่อยคงเส้นคงวาซักเท่าไร
แต่สุดท้าย “หงส์แดง” ภายใต้การคุมทีมของ คลอปป์ ก็เรียนรู้จากความผิดพลาด ในฤดูกาล 2018-2019 ลิเวอร์พูลพัฒนาตัวเองจนสามารถเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดเก็บได้ถึง 97 คะแนน แต่ก็แพ้ แมนฯ ซิตี้ เพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้ามองจากคะแนนยังไงก็ต้องแชมป์ แต่ “หงส์แดง” ก็ยังได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก มาครองได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 6 ด้วยการเอาชนะทอตแนม ฮอตสเปอร์ ไป 2-0
พอเปิดฉากพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-2020 คลอปป์ก็ใส่ใจในการแข่งขันทุกนัด เก็บความผิดพลาดจากซีซันที่แล้วนำมาเป็นบทเรียนสอนใจ คอยปรับปรุง ที่เห็นได้ชัดคือความสู้ไม่ถอยไม่ยอมแพ้จนถึงวินาทีสุดท้ายของทุกเกม จนสามารถพาลิเวอร์พูลทำคะแนนทิ้งห่างคู่ต่อสู้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
เช่นเดียวกับบรรดานักเตะที่เล่นด้วยกันมา 2-3 ปีแทบจะไม่เปลี่ยนไลน์อัปไปจากเดิมมากเท่าไร ทำให้เรียกได้ว่าจะวิ่งไปทางไหน ส่งบอลช่องไหน เพื่อนๆก็ไปกันได้ถูกที่ถูกเวลา เรียกได้ว่าแค่มองตาก็รู้ใจ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ “หงส์แดง” ในซีซันนี้
จนสุดท้ายลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จตั้งแต่ในนัดที่ 31 ของฤดูกาล หลังมีคะแนนนำห่างแมนฯซิตี้อยู่ 22 แต้ม แต่เหลือการแข่งขันอีกเพียงแค่ 7 นัดเท่านั้น ทำสถิติคว้าแชมป์ลีกเร็วที่สุดไปครองอีกด้วย
สิ้นสุดการรอคอยมานานถึง 30 ปี จึงไม่แปลกใจที่ทั้งสโมสรรวมถึงบรรดา “เดอะ ค็อป” จะดีใจกันและเฉลิมฉลองกัน 2 วัน 2 คืนไม่ยอมเลิกรา
อย่างไรก็ตาม ด้วยฝีมือของคลอปป์ ประกอบกับอายุของนักเตะลิเวอร์พูลชุดนี้ยังไม่มากนัก มีแค่จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์, เดยัน ลอฟเรน ที่อายุเกินเลข 3 เท่านั้น ส่วนตัวหลักๆ ไม่ว่าโม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต ฟีร์มิโน, อลิสสัน เบคเกอร์, เวอร์จิล ฟาน ไดก์ ยังอยู่ในช่วงพีกได้อีก 3-4 ปีเลยทีเดียว
เชื่อว่าการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของ “หงส์แดง” ในปีนี้ ไม่ใช่เพียงแค่บทสรุปปิดท้ายของการทำงานตรากตรำกันมาทั้งเจอร์เกน คลอปป์ และนักเตะในทีมทุกคน
แต่นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นนับหนึ่งสู่ยุค สมัยรุ่งเรืองของ “หงส์แดง” เท่านั้น!!
ชานนท์ กล่ำดิษฐ์ เรื่อง