RC-Oppa
ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มแปลกๆ หลังจากกลับมาจากพักร้อนเมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ทั้งหมด จนกระทั่งถึงเกมที่พบกับจุดเปลี่ยนสำคัญ...
ต้องยอมรับตามตรงว่าหนึ่งในแผนที่ทำให้ทัพหงส์แดงกระเจิงคือการเล่นเกมรับแบบรัดกุมๆ ซึ่งคนที่ทำให้เห็นก่อนหน้านี้มาแล้วคือ ดิเอโก ซิเมโอเน กุนซือของแอตเลติโก มาดริด
เยอร์เกน คลอปป์ เพิ่งพาลิเวอร์พูลเจอกับความพ่ายแพ้เป็นเกมแรกในศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ หลังบุกไปพ่ายให้กับ "แตนอาละวาด" วัตฟอร์ด ด้วยสกอร์ที่ไม่มีหลายคนคาดคิด คือ 0-3 ทำให้กองทัพเรด แมชชีน หมดสิทธิ์คว้าแชมป์แบบไร้พ่ายเป็นที่แน่นอนแล้ว ซึ่งก็จะเท่ากับว่ามีเพียงอาร์เซนอลแค่เพียงทีมเดียวเท่านั้นที่เคยทำได้เมื่อฤดูกาล 2003-2004
ย้อนกลับมาที่สาเหตุที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องเจอกับความพ่ายแพ้ ซึ่งก็ต้องย้อนกลับไปอีกในเกมที่พวกเขาบุกไปเยือนทัพ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด เมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งวันนั้นสารภาพตามตรงว่าทีมดังจากกรุงมาดริดจัดการหงส์ซะอยู่หมัด และเอาชนะไปได้ด้วยประตูโทน
โดยสิ่งที่แรกที่ตราหมีเริ่มกระทําชําเรากับหงส์แดงคือ กดดันแบ็กทั้งสองข้างของลิเวอร์พูลที่ประกอบด้วย เทรน อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ให้ไม่ได้เติมขึ้นมาเปิดบอลได้ถนัดถนัดถนี่ ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าการครอสบอลเข้าเขตโทษคือท่าไม้ตายของทั้งคู่ พอตัดการเปิดบอลจากด้านข้างออกไป ก็จะทำให้ลิเวอร์พูลเหลือตัวเลือกแค่สองอย่างคือ ใช้กองกลางลงมาล้วงบอลจากหลังไปหน้า และการสาดจากหลังไปหน้า หรือไม่ก็ใช้เทคนิคเฉพาะตัวของ ซาดิโอ มาเน หรือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งดูจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ในเกมนั้น
ประการที่สองคือ ทำอย่างไรก็ได้ ยิงลิเวอร์พูลให้ได้โดยเร็วที่สุด และกลับมาอดทนเล่นเกมรับอย่างเหนียวแน่นจนจบเกม
ตัวอย่างมีให้เห็น เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เกือบทำได้ในลีกก่อนหน้านี้ แต่ด้วยคุณภาพของผู้เล่นที่ไม่สามารถยืนระยะได้ตลอด 90 นาที ทำให้พวกเขาโดนยิงแซงไปในท้ายที่สุดด้วยสกอร์ 3-2 แบบที่หงส์แดงต้องทุ่มสุดกำลังในช่วงท้ายเกมเช่นกัน
ต่อเนื่องมาในเกมล่าสุด วัตฟอร์ด ยึดแผนตามแบบฉบับของ ดิเอโก ซิเมโอเน คือถ้ายิงไม่ได้ก็ขอรับเน้นรับไว้ก่อน และรอจังหวะที่ลิเวอร์พูลทำพลาดกันเอง และค่อยจัดการซัดไม่ให้เหลือ
ซึ่งลิเวอร์พูลก็พลาดให้เห็นจริงๆ ในจังหวะเสียประตูแรกที่เริ่มจากลูกทุ่ม ทรอย ดีนีย์ ใช้ชั้นเชิงบัง เดยัน ลอฟเลน ไม่ให้แย่งบอลได้ จากนั้นบอลตกลงสู่พื้นกระดอนไปถึง เอเตียนน์ กาปู ไหลเข้าหน้าปากประตูง่ายๆ ให้ อิสไมลา ซาร์ ชาร์จจ่อๆ ไม่เหลือ
หลังจากนั้นก็เป็นไปตามปกติของทีมที่ตามหลังคือต้องดันขึ้นสูง บวกกับที่ทีมหงส์แดงในตอนนี้ไม่มีตัววางบอลที่แม่นยำในแดนกลางอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทำให้ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ต้องเติมขึ้นมาโยนยาวเองอยู่บ่อยครั้ง และก็เสียอีก 2 ประตูในท้ายที่สุด ด้วยแนวรุกที่เด็ดขาดของ วัตฟอร์ด ซึ่งถ้าในเกมที่เวสต์แฮมแพ้ ดันมีตัวทำเกมและศูนย์หน้าจบสกอร์คมแบบนี้ รับรอง ลิเวอร์พูลคงแพ้ตั้งแต่เกมนั้นไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าคุณภาพของ เดยัน ลอฟเลน กับ โจ โกเมส ในตอนนี้ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม การพ่ายแพ้ในเกมนี้คงไม่ได้ทำให้แฟนบอลเดอะ ค็อป กังวลสักนิด เพราะเชื่อว่ายังไงก็กลับมาได้ และคะแนนในตอนนี้ยังคงนำห่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ไกลโพ้น แต่อย่าเป็นดั่งนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าก็แล้วกัน