ป๋อง กพล
กราบสวัสดีทุกท่านนะครับ กลับมาเจอกันอีกครั้งกับตัวกระผม นายป๋องคนเดิม เพิ่มเติมคือความห่วงใย คิดถึงป๋องหรือไม่ครับ ไม่คิดถึงไม่เป็นไร แต่ป๋องอยากจะบอกว่า คิดถึงทุกๆ คนนะครับ
วันนี้จั่วหัวมา เรื่องราวของฟ้าหลังฝน หลายคนคงจะพอรู้เป็นนัยๆ ว่าผมจะพูดถึงเรื่องอะไร ซึ่งคราวที่แล้วเกริ่นทิ้งท้ายไว้ว่า คราวนี้เราจะมาโหมโรงบอลโลกกันก่อน แต่บังเอิญว่า ฟุตบอลยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ที่เพิ่งจบลงไป มันดันมีประเด็นให้พูดถึง ก็เลยอยากจะเขียนถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน เพราะเอาตรงๆ นะ วันนั้นได้นั่งชมเกมอยู่พอดี เลยมีเรื่องอยากพูดถึงค่อนข้างเยอะ แต่หลายๆ คนอาจจะแอบแซวว่ามัน OUT ไปแล้วหรือป่าวพี่ป๋อง ผมก็คงจะได้แต่บอกว่าไม่หรอกครับ เพราะหลายคนอาจจะอ่านในมุมมองคนอื่นมามาก แต่ลองมาอ่านมุมมองของผมดูบ้างนะครับ ว่าเรื่องที่ผมอยากจะสื่อถึงมันคือเรื่องอะไร
ผมคงจะข้ามประเด็นของซาร่ากับรามอสออกไปนะครับ เพราะมันจะกลายเป็นประเด็นที่ยากจะถกเถียง เอาเป็นว่าผมจะพูดถึงแค่ คาริอุสคนเดียวเลยละกันนะครับ นายทวารดวงแตกคนนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คงต้องถูกพูดถึงไม่แพ้เรื่อง ซีดานลาออกแน่นอน (เสียดายอะ อาร์เซนอลไม่น่ารีบตั้ง อูไน เอเมรี่ เลย) มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า คาริอุส หรือ หมูอู๊ดๆ ที่แฟนหงส์มักจะเรียกกัน เป็นนายทวารที่แฟนหงส์นั้นเคยแอบปลื้มใจถึงการเซ็นสัญญาเค้าคนนี้มาร่วมทีม ผมจำได้ดีเลยนะครับว่าแฟนหงส์แดง ต่างแชร์คลิปความเหนียวระดับเทพของเค้า เมื่อสมัยค้าแข้งอยู่กับน้องไมนซ์ป่วนเมือง ตอนนั้นทุกคนต่างยกย่องว่านี่คืออนาคตของทีมอย่างแท้จริง แต่เมื่อได้เห็นฝีมืออันสุดเทพของเค้า ทุกคนต่างส่ายหน้ากันเป็นทิวแถวว่านี่คือเทพยูทูบชัดๆ แต่ทว่าคุณพ่อสุดที่รัก อย่างเฮียคล็อปป์ ก็ประคบประหงม ปลุกปั้นจนสามารถยึดตำแหน่งมือหนึ่งของทีมได้สำเร็จ แต่ทว่าทุกอย่างมันกลับมาพังทลายด้วยความผิดพลาดที่แฟนหงส์หลายคนไม่อาจจะให้อภัยได้ (แต่โชคดีที่รามอสมาขโมยซีนไปก่อน) แต่ก็ยังดีที่แฟนบอลบางคนยังพอเข้าใจ และให้อภัยกันได้ แต่เชื่อเลยว่า ความผิดพลาดในคืนนั้นของ คาริอุส มันไม่มีทางที่จะลบเลือนไปจากใจเค้าได้แน่นอน ตราบาปที่มันเกิดขึ้น มันจะติดตัวเค้าไปตลอดชีวิต เหมือนกับตอนที่ อดีตกัปตันทีมของเค้า เคยผิดพลาดมา แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ พี่เจิด ไม่สามารถที่จะแก้ตัวได้อีกเลย และสุดท้ายเค้าก็โดนปล่อยออกจากทีมไป
แต่กลับกัน คาริอุส เค้ายังหนุ่ม และยังมีโอกาสที่จะได้แก้ตัวกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งที่ผ่านมา อยู่ที่ว่า สโมสร จะให้โอกาสเค้ามากน้อยแค่ไหน เพราะผมเชื่อลึกๆ เลยว่าความผิดพลาดในครั้งนี้มันจะทำให้เค้าแข็งแกร่งมากขึ้น (หรือว่าผมอาจจะคิดผิดก็ได้) เพราะผมยังเชื่อคำพูดที่ว่า ฟ้าหลังฝน ยังคงสดใสเสมอ และผมอยากให้เค้าผ่านพ้นมันไปให้ได้ เหมือนกับอดีตนักเตะคนหนึ่งที่เคยผ่านมา เช่น เดวิด เบคแฮม หลายๆ คนคงจะจำได้ดี ยกเว้นคนที่อาจจะเกิดไม่ทัน เพราะเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เบคแฮม ถือว่าเป็นทั้งพระเอกและผู้ร้ายในคราวเดียวกัน ย้อนกลับไปครั้งเมื่อฟุตบอลโลกปี 1998 เบคแฮม ถือว่าเป็นนักเตะดาวรุ่งตัวความหวังของทีมชาติอังกฤษในตอนนั้น ถึงแม้ว่า เกล็น ฮอดเดิ้ล อาจจะไม่ค่อยชื่นชอบเค้ามากนัก เพราะดันเปิดบอลแม่นกว่าเค้า เบคแฮม ในนัดสุดท้ายของรอบแรก เค้าบรรจงปั่นฟรีคิก ยิงประตูให้ทีมชาติอังกฤษ ตอกฝาโลง โคลอมเบีย พาทีมผ่านเข้ารอบไปเจอคู่แค้นอย่างอาร์เจนตินา ในรอบน็อกเอาต์ และก็เป็นเค้าคนนี้ ที่ทำพลาดมหันต์ เมื่อบรรจงยกเท้าน้อยๆ ของเค้า ไปเขี่ย ซิโมเน่ ลงไปดิ้นเหมือนปานว่าขาจะหัก และท่านเปาก็แจกใบแดงทันที และนั่นคือจุดสุดหายนะครั้งหนึ่งในชีวิตของ เบคแฮม นักข่าวทั่วทั้งประเทศต่างรุมประณามการกระทำอันโง่เขลาของเค้า โทษว่าเค้าคือสาเหตุที่ทำให้ทีมต้องตกรอบนี้ (แต่ไม่โทษคนยิงจุดโทษพลาดเลย) เค้ากลับมาสู่บ้านเกิดด้วยคำสาปแช่ง ขู่ฆ่า ชนิดที่ว่าถ้าตายได้คงตายไปแล้ว แต่ทว่าเค้ายังมีคุณพ่อที่ยิ่งใหญ่ อย่างท่านเซอร์ คอยปกป้อง รวมไปถึงเพื่อนร่วมทีมที่คอยอยู่เคียงข้างเค้าตลอดเวลา และสุดท้าย เค้าก็ลบภาพฝันร้ายในครั้งนั้นได้ และกลับมาเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ได้ในที่สุด
นี่คือตัวอย่างของฟ้าหลังฝนที่น่าจะชัดเจนที่สุด ที่ผมพอนึกออก เพราะฉะนั้นอนาคตภายภาคหน้าของนายทวารหนุ่มคนนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไรผมก็ไม่อาจคาดเดาได้นะครับ แต่ผมบอกได้เลยว่า ถ้านายข้ามผ่านมันไปได้ นายจะยิ่งใหญ่แน่นอน แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็อยู่ที่สโมสรด้วยละครับว่าจะให้โอกาสเค้าหรือไม่ เพราะตำแหน่งที่เค้าเล่นนั้น มันช่างแบกรับทีมไว้มากมายเหลือเกิน เอาเป็นว่า ผมขอเอาใจช่วยละกันครับ ขอให้ผ่านพ้นมันไปให้ได้นะครับ วันนี้ลาไปก่อนนะครับ เจอกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีครับ