มะระหวาน
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังโรมรันแย่งแชมป์กันอย่างเมามันไม่ว่าจะเป็น “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล, “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังฟาดฟันแย่งแชมป์กันแบบใครจะพลาดไม่ได้เลย เพราะหากพลาดท่าก็มีโอกาสจะหลุดจากเส้นทางลุ้นแชมป์ได้ทันที
นอกจากในพรีเมียร์ลีกแล้วสถานการณ์ในเดอะ แชมเปียนชิป ในการแย่งชิงตั๋วขึ้นชั้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีกก็วุ่นวายไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ที่แทบจะนอนมาว่าจะขึ้นชั้นแน่ๆ แต่ตอนนี้ชักไม่แน่แล้ว
เพราะบรรดาผู้ท้าชิงอย่าง “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด และ “ม้าขาว” อิปสวิช ก็พากันไล่แซงหน้าจนทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ หล่นมาอยู่อันดับ 3 ของตารางไปแล้วในตอนนี้
สำหรับในเดอะ แชมเปียนชิป หรือดิวิชัน 1 ของลีกผู้ดีจะคัดเลือกอันดับ 1 และ 2 ที่จะคว้าตั๋วขึ้นชั้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีก ส่วนอันดับ 3-6 จะต้องลงแข่งต่อในรอบเพลย์ออฟเพื่อหาหนึ่งเดียวได้ตั๋วใบสุดท้ายไปเล่นในลีกสูงสุด
ตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2023-2024 มานั้น เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่ฟอร์มร้อนแรงแบบสุดๆ ทะยานขึ้นมานำจ่าฝูงได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นัดเท่านั้น ก่อนจะทำผลงานยอดเยี่ยมในช่วงต้นปี 2024 นำห่างรองจ่าฝูงอยู่ถึง 10 แต้ม
ซึ่งตอนนั้นใครๆ ก็มองว่า “จิ้งจอกสยาม” แทบจะการันตีตั๋วกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้งหลังจากเพิ่งตกชั้นมาในปีที่แล้ว ทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามปกติจนมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่อยู่ดีๆเลสเตอร์ ซิตี้ ก็ฟอร์มตกไปเฉยๆ ซะอย่างนั้น โดยแพ้ให้กับมิดเดิลสโบรช์คาบ้าน 1-2
หลังจากแพ้ “โบโร่” ในเกมลีกช่วงกลางเดือนแห่งความรักจนมาถึงนัดล่าสุดที่เลสเตอร์ ซิตี้ แพ้ให้กับบริสตอล ซิตี้ ไป 0-1 ในเกมนัดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ 6 นัดล่าสุด ในเกมลีก “เดอะ ฟ็อกซ์” ชนะได้เพียงแค่นัดเดียว เสมอ 1 และแพ้ถึง 4 เกมด้วยกัน จาก 10 แต้มที่นำห่างก็ทำให้หล่นมารั้งอันดับ 3 ไปซะได้
ส่วนจ่าฝูงของเดอะ แชมเปียนชิป ในตอนนี้ตกเป็นของ “ม้าขาว” อิปสวิช ทาวน์ ที่อาศัยจังหวะที่เลสเตอร์ ซิตี้ พ่ายแพ้ และลีดส์ ยูไนเต็ด ทำได้แค่เสมอ บุกไปเชือด “กุหลาบไฟ” แบล็คเบิร์น พังคารัง 1-0 ทะยานขึ้นมารั้งจ่าฝูงทันทีมี 84 คะแนนจาก 39 นัด ขณะที่ “ยูงทอง” ลีดส์ ที่ได้แต้มเดียวก็ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 2 มี 83 คะแนนจาก 39 นัด ส่วนเลสเตอร์ ซิตี้ หล่นมารั้งอันดับ 3 มี 82 คะแนนจาก 38 นัด
ยังโชคดีที่เจ้าของแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2015-2016 แข่งน้อยกว่า 1 นัด มีเกมอยู่ในมือมากกว่าหากสามารถเก็บชัยชนะในเกมนัดตกค้างได้ก็จะทำให้กลับไปยืนหล่อๆบนหัวตารางได้อีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตาม ชั่วโมงนี้ เอ็นโซ มาเรสกา กุนซือชาวอิตาเลียนของ “จิ้งจอกสยาม” จะต้องปลุกเร้าลูกทีมให้เค้นฟอร์มเก่งเหมือนตอนต้นฤดูกาลออกมาให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะถ้าหากยังช้าไปมากกว่านัดหรือสองนัดบอกได้เลยต้องไปลุ้นเหนื่อยในรอบเพลย์ออฟแน่นอน
โดย “เดอะ ฟ็อกซ์” ต้องเริ่มต้นจากเกมลีกวันนี้ (1 เม.ย.) ที่จะต้องลงเล่นในบ้านรับมือกับ “นกขมิ้น” นอริช ซิตี้ ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก 3 แต้ม หากได้น้อยกว่านี้รับรองโอกาสได้ตั๋วลุยพรีเมียร์ลีกอัตโนมัติจะเริ่มห่างไกลไปอีก
ส่วนอีก 2 ทีมที่กำลังลุ้นตั๋วเช่นเดียวกับเลสเตอร์ ซิตี้ ก็มีโปรแกรมเตะเช่นกันโดย “ม้าขาว” อิปสวิช จ่าฝูง ลงเล่นในบ้านเจอกับ “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน และ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด พบฮัลล์ ซิตี้ ซึ่งทั้งหมดก็จะพลาดไม่ได้เช่นกันหากไม่ต้องการเสียตำแหน่งคืนให้กับ “จิ้งจอกสยาม”
ในตอนนี้ “เดอะ แชมเปียนชิป” เหลืออีก 7 นัดเท่านั้น ลุ้นกันหนักไม่แพ้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลยทีเดียวหากใครพลาดหรือแผ่วตอนโค้งสุดท้ายแบบนี้ก็มีโอกาสที่ตั๋วไปลุยพรีเมียร์ลีกจะหลุดลอยค่อนข้างสูง
“จิ้งจอกสยาม” ต้องลืมความผิดพลาดที่ผ่านมารวมถึงเรื่องการโดน “เอฟเอ” ตั้งข้อหาผิดกฎการเงินจนส่อแววโดนตัดแต้มไปก่อน และกลับมาโฟกัสเกมลีกเป็นอันดับแรก เพราะหากถ้าพลาดตั๋วไปลุยพรีเมียร์ลีกแล้วละก็สถานการณ์มันจะยิ่งแย่กันไปใหญ่!!
มะระหวาน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่