ไทยรัฐออนไลน์
ก่อนที่ระบบ VAR หรือ วิดีโอช่วยตัดสิน จะเกิดขึ้นในโลกฟุตบอล ระบบดังกล่าวต้องใช้เวลานานถึง 150 ปี กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ ทีมข่าวไทยรัฐสปอร์ต จะพาไปดูวิวัฒนาการของกีฬาชนิดนี้ ก่อนจะถึงยุค VAR
* ย้อนประวัติกำเนิดกติกาฟุตบอล
* นกหวีด เทคโนโลยีแรกในเกมการแข่งขัน
* VAR ใช้เพื่ออะไร
ฟุตบอล นับเป็นกีฬาที่มีการแข่งขันมายาวนาน แต่ไม่สามารถยืนยันถิ่นกำเนิดได้ชัดเจน เนื่องจากแต่ละชนชาติต่างก็มีการละเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอล เช่นในปัจจุบัน เช่น ที่ฝรั่งเศส เรียกการละเล่นนี้ว่า ลาซูเลอ (La soule) ส่วนที่อิตาลี ก็มีชื่อเรียกว่า จิคิโอ เดล คาลซิโอ (Gioco Del Calcio)
แม้แต่ในเอเชียอย่างจีน ก็เคยมีบันทึกการละเล่นในรูปแบบคล้ายคลึงกันนี้ ในสมัยราชวงศ์ฮั่น หรือช่วงก่อนปี ค.ศ.220 เรียกว่า ซือซู (Tsu-Chu) แปลความหมายคือการเตะลูกหนังด้วยเท้า รวมถึงการละเล่นที่เรียกว่า เคมาริ (Kemari) ในประเทศญี่ปุ่น
ประวัติศาสตร์ของกติกาการแข่งขันฟุตบอลสมัยใหม่ ที่แข่งขันอยู่ในปัจจุบัน รวบรวมโดยคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ (International Football Asociation Board หรือ IFAB) แบ่งการพัฒนาการของกติกา ออกเป็น 5 ยุคใหญ่ๆ ตามเหตุการณ์สำคัญ ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนากฎการแข่งขัน
ยุคแรก เป็นกำเนิดฟุตบอลสมัยใหม่
นับเริ่มในปี ค.ศ.1863-1970 ราว พ.ศ.2406-2513
ปี ค.ศ.1863 หรือ พ.ศ.2406 เริ่มมีการตั้งกติกาการแข่งขัน เรียกว่า law of the game โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) ที่เพิ่งก่อตั้งเป็นครั้งแรก จากนั้นได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา จนในปี ค.ศ.1869 เริ่มมีกฎ goal kick หรือลูกตั้งเตะจากประตู ตามมาด้วยปี ค.ศ.1872 กับการเตะมุม
แต่ที่ดูจะเป็นพัฒนาการทางเทคโนโลยี คือในปี ค.ศ.1878 เริ่มมีการใช้นกหวีด
ปี ค.ศ.1897 ได้มีการกำหนดจำนวนผู้เล่นข้างละ 11 คน ในเวลาแข่งขัน 90 นาที และเริ่มอนุญาตให้มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นที่บาดเจ็บออกจากสนามได้ ในปี ค.ศ.1925
ยุคที่ 2 เป็นยุคที่ก้าวไปสู่เกมการแข่งขันที่ยุติธรรม
ปี ค.ศ.1970 เริ่มมีกติกาให้ใบเหลือง ใบแดง กับผู้เล่นเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ค.ศ.1970 ที่ประเทศเม็กซิโก
ยุคที่ 3 เป็นยุคของการปรับปรุงเกม
ปี ค.ศ.1981 มีกติกาเพิ่มเติม เกี่ยวกับการไล่ผู้เล่นออกจากสนาม หากผู้ตัดสินมีความเห็นว่า ผู้เล่นกระทำการรุนแรง หรือเล่นผิดกติกาอย่างร้ายแรง รวมถึงการใช้ภาษาที่หยาบคาย ไม่เหมาะสม หรือยังคงมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหลังจากได้รับการเตือนแล้ว
ปี ค.ศ.1987 พิจารณาเพิ่มเวลาการแข่งขัน ทดแทนเวลาที่เสียไป จากการที่ต้องไปดูแลนักกีฬาที่บาดเจ็บในสนาม เวลาพัก ฯลฯ
ยุคที่ 4 เข้าสู่ยุคแห่งฟุตบอลอาชีพ
ปี ค.ศ.1990 เริ่มมีการกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับชุดและอุปกรณ์การแข่งขันมากขึ้น รวมถึงกฎการออฟไซด์ หรือล้ำเส้น และเรื่องเจตนาในการเล่นรุนแรงเกินความจำเป็นในเกมการแข่งขัน เพื่อความปลอดภัยของนักกีฬามากขึ้น
ปี ค.ศ.1995 กำหนดจำนวนการเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ฝั่งละ 3 คนเท่านั้น ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 4 โดยให้คนที่ 4 เปลี่ยนได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเมื่อปี ค.ศ.2016 ที่ผ่านมานี่เอง โดยเริ่มใช้รายการแรกในรอบชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 18 ธ.ค.2016 เรอัล มาดริด ชนะ คาชิมา แอนท์เลอร์ส 4-2 ที่ประเทศญี่ปุ่น
ปี ค.ศ.1998 เพิ่มการลงโทษผู้เล่นที่เข้าปะทะจากด้านหลังผู้เล่นฝั่งตรงข้าม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงการเพิ่มโทษนักกีฬาที่จงใจตบตากรรมการให้เกิดการตัดสินที่ผิดพลาด ในปี ค.ศ.1999 อีกด้วย
ยุคที่ 5 เรียกว่าเป็นยุคใหม่ของฟุตบอล
เริ่มต้นในปี ค.ศ.2001 ถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่กติกา ก็จะเน้นไปที่มารยาทของนักเตะ เช่น การห้ามถอดเสื้อแสดงความดีใจในสนามแข่งขัน การเปิดพื้นที่โฆษณาในสนามว่าให้เฉพาะป้ายบอร์ด บนเสื้อนักเตะ ฯลฯ
แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือการเปิดโอกาสให้ผู้ตัดสินพลิกคำตัดสินได้ หากพิจารณาร่วมกับผู้ช่วยผู้ตัดสินแล้วพบว่า การตัดสินในครั้งแรกไม่ถูกต้องนัก ในปี 2005 ซึ่งนี่เอง เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า Video Assistant Referee หรือ VAR นั่นเอง
VAR ได้ถูกเขียนลงใน Laws of the Game ครั้งแรกโดย International Football Association Board (IFAB) ในปี 2018
บทบาทของ VAR คือช่วยผู้ตัดสิน ในการตัดสินว่าในจังหวะก้ำกึ่ง เช่น บอลเข้าประตูหรือไม่ รวมถึงเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการตัดสินใจที่ผิดพลาดในจังหวะสำคัญ เช่น การให้จุดโทษ หรือการให้ใบแดงนักเตะในสนาม รวมถึงการระบุตัวนักเตะผิดนั่นเอง
ครั้งหน้าเราจะมาตีแผ่กันว่า เหตุใด ค่าใช้จ่าย VAR ต่อการแข่งขัน 1 ครั้ง ถึงแพงนักหนา ในไทยลีก ระบุไว้สูงถึงนัดละ 82,000 บาท
เรื่อง : “เก้าแต้ม"
กราฟิก : Fee, MARK+
ที่มาข้อมูล
https://www.theifab.com/history/laws
https://football-technology.fifa.com/en/media-tiles/video-assistant-referee-var/