หน้าแรกแกลเลอรี่

9 นัดตัดสินแชมป์

หมวดแซม

5 มี.ค. 2562 05:01 น.

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล พลาดท่าทำ 2 คะแนนหลุดมือ หลังทำได้แค่บุกมาเสมอกับ “ทอฟฟี่” เอฟเวอร์ตัน แบบเป้าสะอาดไร้สกอร์ 0-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก นัดเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้แมตช์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ “หงส์แดง” ชวดแซงกลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงและหล่นมาอยู่อันดับ 2 ของตาราง ตามหลังจ่าฝูง แมนฯซิตี้ 1 แต้ม ขณะเหลือการแข่งขันอีกเพียง 9 นัดสุดท้ายเท่านั้น

เกมนี้ ลิเวอร์พูลมีรูปเกมที่เหนือกว่า ครองบอลบุกมากกว่าที่ 58 เปอร์เซ็นต์ แถมยังมีโอกาสยิงเยอะกว่า 10 ต่อ 7 ครั้ง

แต่สุดท้ายลูกทีมของเจอร์เกน คลอปป์ ก็ไม่สามารถเจาะตาข่ายทีมทอฟฟี่ได้ เพราะจอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารมือกาวของเอฟเวอร์ตัน โชว์ซุปเปอร์เซฟเหนียวหนึบ ป้องกันลูกอันตรายเอาไว้ได้หมด

ขณะเดียวกันโม ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน สองสตาร์แนวรุกของหงส์แดง ต่างงัดฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้ ส่วนดิว็อก โอริกี ซึ่งได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในนัดนี้ ก็เล่นได้ห่วยแตก ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้เลย

ที่จริงแล้ว โม ซาลาห์ ปีกเคราดกเลือดมัมมี่ น่าจะยิงได้อย่างน้อย 1 ลูกในเกมนี้ โดยเฉพาะจังหวะที่เจ้าตัวหลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับพิคฟอร์ด แต่จังหวะสุดท้ายซาลาห์ดันยิงไปโดนมือกาวทีมชาติอังกฤษเซฟเอาไว้ได้

จะว่าไปต้องโทษ เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือเฮฟวีเมทัลชาวเยอรมันด้วย ที่จัดทีมได้ค้านสายตาแฟนบอลซะเหลือเกิน
คลอปป์พลาดมหันต์ที่ส่งโอริกีลงเป็นตัวจริง เนื่องจากโรแบร์โต ฟีร์มิโน ยังไม่ฟิต

เต็มร้อย แต่โอริกีไม่สามารถช่วยทีมได้เลย สู้เอา เซอร์ดาน ชากิรี ปีกหุ่นมะขามข้อเดียวชาวสวิส ลงมาเป็นตัวจริง น่าจะเวิร์กและมีประโยชน์ต่อทีมมากกว่า

มิหนำช้ำช่วงท้ายเกม คลอปป์ยังส่งอดัม ลัลลานา ลงมาแทนซาดิโอ มาเน ในนาที 84 แทนที่จะส่งเซอร์ดาน ชากิรี ลงมาเพิ่มประสิทธิภาพในเกมรุก เพราะปีกชาวสวิสน่าจะช่วยพลิกเกมได้ดีกว่า สร้างความขุ่นเคืองให้กองเชียร์เดอะค็อปอย่างมาก

หลังเกมนักข่าวถามคลอปป์ว่าเขาควรเสี่ยงเล่นเกมรุกมากกว่านี้เพื่อคว้าสามแต้มให้ได้ แต่กุนซือเลือดเบียร์สวนกลับไปว่า นี่คือเกมฟุตบอลของจริงนะ ไม่ใช่เล่นเกมเพลย์สเตชันที่พอเปลี่ยนตัวรุกลงสนามไปอีกคนแล้วจะพลิกเกมได้

ถึงตอนนี้ ทั้งแมนฯซิตี้และลิเวอร์พูลต่างเหลือเกมให้เล่นอีก 9 นัดสุดท้ายเท่ากัน เพื่อตัดสินว่าใครจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ โดยโปรแกรม 9 นัดสุดท้ายของทั้งสองทีม มีดังนี้

แมนฯซิตี้ : 9 มี.ค.เจอ วัตฟอร์ด (เหย้า), 30 มี.ค.พบ ฟูแลม (เยือน), 6 เม.ย.พบ คาร์ดิฟฟ์ (เหย้า), 14 เม.ย.เจอ คริสตัล พาเลซ (เยือน), 20 เม.ย. พบ สเปอร์ส (เหย้า), 24 เม.ย. เจอ แมนฯยู (เยือน), 28 เม.ย.เจอ เบิร์นลีย์ (เยือน), 4 พ.ค. พบ เลสเตอร์ (เหย้า), 12 พ.ค. พบไบรท์ตัน (เยือน)

ลิเวอร์พูล : 10 มี.ค.เจอ เบิร์นลีย์ (เหย้า), 17 มี.ค.เจอ ฟูแลม (เยือน), 31 มี.ค. เจอ สเปอร์ส (เหย้า), 5 เม.ย.พบ เซาแธมป์ตัน (เยือน), 14 เม.ย. พบ เชลซี (เหย้า), 21 เม.ย.พบ คาร์ดิฟฟ์ (เยือน), 26 เม.ย.เจอ ฮัดเดอร์สฟิลด์ (เหย้า), 4 พ.ค. พบ นิวคาสเซิล (เยือน), 12 พ.ค. พบ วูล์ฟส์ (เหย้า)

พิจารณาจากโปรแกรมแล้ว ลิเวอร์พูล ดูจะเจองานหนักกว่า เพราะจะต้องฟัดกับสเปอร์สและเชลซี แต่ได้เล่นในแอนฟิลด์ทั้งสองนัด

ส่วนแมนฯซิตี้มีงานหินที่ต้องเล่นในบ้านเจอกับสเปอร์ส และต้องเล่นเกมดาร์บี้บุกไปเยือน “ผีแดง” แมนฯยู อริร่วมเมืองที่โอลด์แทรฟเฟิร์ด

ไม่แน่เกมดาร์บี้แมตช์เรือใบปะทะผีแดง อาจเป็นนัดตัดสินแชมป์ก็ได้.

หมวดแซม