ไทยรัฐออนไลน์
ผลงานของทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทย ชุดเอเชียนเกมส์ ออกสตาร์ต 2 เกมแรก ถือว่าไม่ได้เป็นไปตามเป้า เสมอ กาตาร์ และ เสมอ บังกลาเทศ มี 2 แต้ม จากที่ตั้งเป้าไว้ 4 แต้ม ทำให้เกมสุดท้ายที่จะพบกับ อุซเบกิสถาน ถือว่าเป็นงานยาก แต่หากเราสามารถชนะได้ ก็มี 5 แต้ม เข้ารอบเป็นที่สองของสาย หรือ เสมอ มี 3 แต้ม ก็ยังมีโอกาสเข้ารอบทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด แต่ถ้าแพ้ก็บ้านใครบ้านมันครับ
ผลงานจากเกมแรก ที่เสมอกาตาร์ 1-1 หยุดกระแสแฟนบอลโจมตีทางคีย์บอร์ด ทางโค้ชโย่งได้พอสมควรแถมเสียงกลับมาชื่นชม แต่จากเกมเสมอกับบังกลาเทศ 1-1 แบบต้องไล่ตามตีเสมออีก บางคนบอกเสมอเหมือนแพ้ เพราะเจอทีม บังกลาเทศ ที่มีอันดับโลกรองบ๊วยเป็นอันดับ 2 ในเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ ก็เป็นธรรมดาที่แฟนบอลจะเกิดอาการ หัวร้อน อีกรอบ
ใช่เลยครับ !! ทำไมจะวิจารณ์ไม่ได้ ทีมชาติไทย ไม่ใช่ทีมของใคร แน่นอนทุกคน “คนไทย” มีสิทธิ์ที่จะคิดจะพูดวิจารณ์กันได้ตามความเซียนตัวเอง แต่เรื่องที่อยากพูดถึงคือ วิจารณ์กันถึงผลงานได้เต็มที่ แต่อย่าเลยเถิดไปถึงเรื่องของ รูปลักษณ์และเอาไปเกี่ยวข้องกันซะหมด
กรณีอย่าง โค้ชโย่ง หาได้จากในคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก หรือ เวลาดูไลฟ์ จากการแข่งขัน เกรียนคีย์บอร์ด เริ่มทำงาน จัดกันมาเต็ม โค้ชลงพุง โค้ชเบาหวาน โค้ชความดัน หรือ ถึงขั้น เรียก ไอ้…. เป็นเพื่อนเล่นกันเลย จนแอบคิดว่า โค้ชโย่ง ไปทำร้ายจิตใจใครมาขนาดนี้
“ครั้งนึงเคยถามโค้ชโย่งว่า” พี่รู้ไหมว่ามีคนด่า แกตอบว่า รู้มีคนมาเล่า เพราะพี่ไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่เล่นโซเชียล โทรศัพท์ยังไม่มีไลน์เลย (หยิบโทรศัพท์ให้ดู) เราห้ามแฟนบอลไม่ได้หรอกแต่ก็ช่างเค้าเถอะ เค้าด่าแล้วเชียร์น้องๆ พี่ก็ OK”
“โค้ชโย่งจะไหวหรอครับ” เอาจริงๆ ผมเองก็คิดเหมือนกับแฟนบอลบางส่วน!!
ถ้ายังจำกันได้ ช่วงสมาคมกีฬาฟุตบอล หาโค้ช ยู 21 ปี ทำทีมชุดซีเกมส์ 2017 ที่มาเลเซีย สุดท้าย โค้ชเฮง ตัดสินใจให้โค้ชโย่งทำทีม จนถูกมองว่า เป็น ”โค้ชเด็กเส้น” หนำซ้ำช่วงออกสตาร์ตในซีเกมส์ ทรงบอลที่ไม่เร้าใจยิ่งทำให้กระแสแฟนบอลด่ายับ สับแหลก กับฟอร์มที่ไม่กระฉูด กับสิ่งที่แฟนบอลไทย เฝ้าบอกกับตัวเองว่า พวกเราคือ ราชันแห่งอาเซียน ทำไม เล่นห่วย หรือเป็นเพราะโค้ช ? แต่สุดท้าย โค้ชโย่ง และ ลูกทีม ก็คว้าเหรียญทองมาได้ กับ การเสียประตูเพียงแค่ 1 ลูก จากจุดโทษในนัดเจออินโดนีเซียเท่านั้น
หลังซีเกมส์ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ตั้ง โซรัน ยานโควิช ผู้ช่วยราเยวัช คุมทีมแทนโค้ชโย่ง แต่ก็ไปไม่รอด ผลงานพาทีมตกรอบในชิงแชมป์เอเชีย ยู 23 ทำให้ สมาคมกีฬาฟุตบอล กลับมาใช้คนคุ้นเคย ทำให้โค้ชโย่ง รีเทิร์น แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าคงจะโดนด่าอีกแล้วเป็นแน่ เพราะ รายการนี้คือระดับเอเชียไม่ใช่อาเซียน แต่โค้ชโย่งยักไหล่ พร้อมรับทำไม่สนกระแสเซียนโซเชียล แต่ลึกๆก็อยากพิสูจน์ตัวเองให้เห็นอีกครั้ง
ว่ากันตามข้อเท็จจริง ชุดเอเชียนเกมส์ ดูกระท่อนกระแท่นตั้งแต่ช่วงเตรียมทีม เนื่องจากสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะไม่หยุดลีก แต่สุดท้ายต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ไฟเขียวให้หยุด เพื่อให้สโมสรต้องปล่อยนักเตะที่ดีที่สุดมาใช้งาน แต่ระยะกาารเตรียมตัวร่วมซ้อมก็ยังน้อยไม่กี่วัน พร้อมการประกาศรายชื่อ 20 นักเตะชุดเอเชียนเกมส์ ออกมายิ่งทำให้ หนักใจ หนำซ้ำ นักเตะที่เรียกมาดูจะขัดใจมากกว่าถูกใจเสียอีก
ส่วนอีกประเด็นที่น่าคิด นักเตะอายุเกิน 3 คน โค้ชโย่งบอกว่า ถ้าไม่ใช่ มุ้ย - อุ้ม -เจ ก็คงไม่อยากได้ใคร .. ตรงนี้แหละ ที่ทำให้รู้สึกว่า อ้าว แล้วทำไม เกาหลีใต้ เรียก ซอน เฮือง มิน นักเตะระดับพรีเมียร์ลีกอังกฤษของสเปอร์ส และอีก 2 นักเตะที่ผ่านฟุตบอลโลกหนล่าสุดมาสดๆร้อน ทำไมพวกเขาไม่กลัวดาวรุ่งจะไม่แจ้งเกิดเหมือนบ้านเราบ้างหรอ จึงน่าคิดว่าหากอยากประสบความสำเร็จ สร้างแบบอย่างให้ นักเตะรุ่นใหม่ให้เห็นถึงความสามารถ เปลี่ยนทัศนคติที่ว่าเราสู้ได้จริง ก็อาจจะเป็นแรงผลักดันที่ดี ไม่ใช่แค่ว่าขอเพียงแค่มีแต้มเท่านี้ ก็พอใจแล้วหรือเปล่า?
แม้บ้างเรื่องเข้าใจครับ แต่บ้างเรื่องก็ไม่ได้เห็นด้วย แต่ทุกคำวิจารณ์ จะหยุดด้วยผลงานที่ดีนะครับ ณ เวลานี้ ยังเหลืออีก 1 เกม ที่เราจะต้องสู้แบบเกินร้อย หรือ ตกรอบและบอกเหมือนเดิมๆว่าส่งนักเตะมาเอาแค่ “ประสบการณ์ “
ผมคนนึงที่ยังเชื่อลึกๆว่า โค้ชโย่งและนักเตะ จะสู้อย่างเต็มศักยภาพแน่นอน เชียร์และให้กำลังใจกันก่อนนะครับ แม้สุดท้ายเข้ารอบหรือตกรอบ จริงๆแล้ว โค้ชโย่ง เท่าที่รู้จักแก ลูกผู้ชายพอตัว จะยอมรับกับสิ่งที่ทำ มากกว่าให้ใครมาด่าที่ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ
บ่นได้ ด่าได้ แต่ก็เชียร์เถอะครับ
ไทยแลนด์ ปู๊นๆ
(โบโบ้) เกริกชัย คุณโฑ