ตอนที่ 16
“ยังไงก็ขอบใจที่ยังพอมีสำนึกห่วงฉันกับลูกบ้าง ถึงมันจะช้าเป็นชาติแล้วก็ตาม”
“ไปอยู่กับลูกที่โน่นส่งที่อยู่มาด้วยเผื่อไป
ขอเงิน...ฉันไปละ”
อธิปพูดจบก็ผละไป เกศิรินเท้าเอวหมับตะโกนด่าไล่หลังด้วยสีหน้าทั้งระอาทั้งขำ
“นั่นไง...เลวไม่เปลี่ยนเลย”
ด่าเสร็จก็เดินไปขึ้นรถตัวเอง...เธอรู้สึกว่าชีวิตกำลังจะดีและมีความสุขแม้มีแค่ลูกก็พอ
ooooooo
หลังจากเก็บคำพูดของเขมมาคิดทบทวนอยู่ไปมา...วันนี้เองอาริสาก็ตัดสินใจเดินหน้ามาพบหมอเอกที่โรงพยาบาลทั้งที่ตัวเองไม่ได้เข้าเวร
หมอเอกอยู่ในห้องทำงานกำลังดูแผ่นอัลตราซาวนด์เด็กในท้องคนไข้รายหนึ่ง เขาเศร้าอดคิดถึงเรื่องตัวเองไม่ได้...อาริสาท้องแต่ไม่ใช่ลูกเขา
ทันใดเสียงเคาะประตูทำให้เขาเงยหน้าจากแผ่นอัลตราซาวนด์ พร้อมๆกับที่อาริสาเปิดประตูก้าวเข้ามาในชุดไปรเวต
“ริสา...วันนี้คุณไม่ได้ทำงานแล้วมาที่นี่ทำไม หรือว่าคุณเป็นอะไร”
หมอเอกลุกพรวดไปหาอาริสาแสดงความห่วงใย
“ริสาไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แต่ริสามาหาหมอ...
ริสาอยากจะขอร้องหมอ”
“มีอะไรรึเปล่าริสา”
“ริสาจะกลับไปอยู่บ้านกับหมอ เราจะกลับไปเป็นสามีภรรยากัน”
หมอเอกยิ้มหน้าบาน จับมืออาริสาขึ้นมากุมด้วยความดีใจสุดๆ
“จริงเหรอริสา”
“แต่เรื่องของความรู้สึกริสายังไม่เหมือนเดิม”
“ผมเข้าใจ แค่ริสากลับไปอยู่บ้านให้ผมดูแลริสากับลูกผมก็ดีใจที่สุด”
“ส่วนเรื่องลูก พอเขาคลอดริสาขอตรวจดีเอ็นเอ ถ้าเขาไม่ใช่ลูกหมอ...”
“ผมไม่ต้องการให้ตรวจดีเอ็นเอ”
“แต่ริสาไม่อยากให้หมอมีคำถามในใจ”
“ถ้าตรวจเพื่อให้คำตอบผม แล้วพอรู้คำตอบแล้วมันทำให้เรามีกำแพงต่อกันมากขึ้น ผมไม่ต้องการ...เพราะลูกไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่ผมเคยทำต่างหากคือปัญหา ลูกคือสิ่งที่ทำให้เรากลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิมอีกครั้ง แล้วผลตรวจมันไม่ได้มีผลแค่คุณหรือผม แต่มันมีผลกับลูกด้วย ผมไม่ต้องการให้ใครมองเขาว่าเป็นลูกของใคร”
อาริสาจนด้วยเหตุผลของเขา...หมอเอกหันไปหยิบกล่องเล็กๆในกระเป๋ามาเปิดออกเผยให้เห็นแหวนที่อยู่ข้างใน
“ผมเก็บไว้กับตัวเพราะแอบหวังว่าริสาจะรับแหวนวงนี้คืน ริสารับแหวนคืนได้ไหม”
อาริสานิ่งเฉย หมอเอกรอลุ้นฟังคำตอบ...
ooooooo
ครู่ต่อมา อาริสาเดินถือแหวนวงนั้นออกจากห้องหมอเอก เธอรับแหวนมาจากเขาแต่ยังไม่ยอมสวมใส่นิ้วตามที่เขาต้องการ เพราะเธอยังไม่เปิดรับเขาเข้ามาแทนที่ป้องกุลร้อยเปอร์เซ็นต์
ตอนนั้นที่หมอเปิดกล่องแหวน เขาทำท่าจะจับมือเธอมาสวมแหวน แต่อาริสารีบหยิบแหวนนั้นมาถือไว้
“ขอบคุณนะคะหมอ แต่ริสายังไม่พร้อมสวมนิ้วตอนนี้ ขอริสาเก็บไว้นะคะ”
“แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว”
อาริสานึกย้อนไปแล้วหยุดเดินมองแหวนในมือ ...จากนั้นคิดคำนึงถึงคำพูดของเขมก่อนหน้าที่ทำให้เธอ
ตัดสินใจมาพบหมอเอกในวันนี้
“ลองให้หมอดูแล ดูว่าหมอรักลูกจริงไหม ดูแลได้รึเปล่า...นอกจากว่าที่เธอไม่ให้โอกาสหมอเพราะใจยังคิดกลับไปหาป้องกุล”
ขณะที่อาริสายังยืนเหม่อหน้าหมองเศร้าอยู่ตรงทางเดินในโรงพยาบาลนั้น สุนิดาเดินมาจาก
อีกทางตั้งใจมาพบอาริสาอยู่พอดี แต่ยังไม่ทันจะปรี่เข้าไปทักก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีพยาบาลสาว
คนหนึ่งตรงดิ่งมาหาอาริสาก่อน
“พี่ริสา...หนูดีใจด้วยนะคะ”
“อะไรเหรอจ๊ะ”
“ก็เรื่องที่พี่จะมีน้องไงคะ ในที่สุดพี่กับคุณหมอก็มีน้องแล้ว ดีใจด้วยนะคะพี่”
สุนิดายืนห่างออกไปแต่ได้ยินชัดและพยายามแอบฟังต่ออย่างอยากรู้ว่าอาริสาท้องกับใคร
อาริสายิ้มบางๆให้พยาบาลรุ่นน้องที่มาแสดงความยินดี
“ขอบคุณนะคะ พี่ขอตัวกลับก่อนนะ”
อาริสาเดินผ่านพยาบาลรุ่นน้องไป สุนิดาทำท่าจะก้าวตามอาริสาแต่แล้วฉุกใจคิดจึงพุ่งเป้ามาที่พยาบาลสาว ทำทีเข้ามาซักถามอย่างเนียนๆ
“ขอโทษนะคะ คนนั้นใช่คุณพยาบาลที่ชื่ออาริสารึเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ”
“พอดีพี่เป็นคนไข้ที่คุณอาริสาเคยดูแล เมื่อกี้พี่มาตรวจแล้วได้ข่าวว่าคุณอาริสาท้องเหรอคะ”
“อ๋อ ใช่ค่ะ”
“ไม่ทราบว่าท้องกี่เดือนแล้วคะ พี่อยากซื้อของขวัญให้เขาน่ะ”
“พี่ริสาท้องประมาณสองเดือนแล้วค่ะ”
“สองเดือนเหรอ” สุนิดาพึมพำแล้วเดินจากไป ในหัวสมองคิดหาวิธีทำให้ป้องกุลหนีจากเกศิริน
ไปหาอาริสา
เมื่อคิดแผนร้ายได้แล้วอย่างว่องไว สุนิดารีบ โทร.หาตุลเพื่อนป้องกุลในขณะที่เธอกำลังเดินไปขึ้นรถตัวเองตรงลานจอดของโรงพยาบาล
“คือ...พี่โทร.หาป้องแล้วน่ะตุล แต่ป้องไม่รับสาย ตุลโทร.หาป้องให้พี่หน่อยได้ไหม”
“ผมก็อยากช่วยพี่นะ แต่ก็อย่างที่ผมบอกพี่นั่นแหละครับ ป้องไม่รับงานแล้ว”
“งั้นบอกป้องว่าพี่มีเรื่องริสาจะบอก ให้ป้องไปหาพี่ที่ผับคืนนี้...พี่จะรอ”
สุนิดาพูดจบก็วางสายไม่รอว่าตุลจะตอบรับหรือปฏิเสธ...เป็นการมัดมือชกอย่างเจ้าเล่ห์
เวลานั้นป้องกุลอยู่บ้านกำลังขนเสื้อผ้าออกจากตู้มากองบนเตียงเพื่อเตรียมเลือกใส่กระเป๋าเอาไปอเมริกา แล้วเหลือบเห็นกล่องที่อาริสาใส่รูปและเศษดอกไม้มาคืนซึ่งเขายังไม่ได้ทิ้งมันไป
แวบแรกที่เห็นเขาบอกตัวเองว่าคิดถึงอาริสาจับใจ แต่ต้องพยายามตัดใจไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในที่ห่างไกล เขาเบือนหน้าหนีไม่อยากมอง...แต่แล้วชื่ออาริสาก็วนเวียนเข้ามาให้ได้ยินอีกเมื่อเขารับสายจากตุล
“ว่าไงไอ้ตุล”










