“อนุทิน” บินมาเลเซีย ลงนามสันติภาพ “ไทย- กัมพูชา” มี “ทรัมป์” ร่วมเป็นสักขีพยาน ขณะเดียวกัน มอบ “สีหศักดิ์” ร่วมวงเอเปกแทน ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 หารือผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา เห็นพ้องปรับอาวุธหนักออกจากพื้นที่ขัดแย้ง สร้างเสถียรภาพชายแดน เตรียมตั้งกลไก AOT และนัดหารือวันเริ่มปฏิบัติอีกครั้งหลัง 26 ต.ค.นี้ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 15.15 น. วันที่ 26 ต.ค.นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ว่า คืนวันที่ 25 ต.ค.ตนเดินทางไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อลงนามในถ้อยแถลงไทย-กัมพูชา ช่วงเช้าวันที่ 26 ต.ค. ได้ประสานงาน และแจ้งถึงเหตุผลที่ขอร่นเวลาลงนามมาเป็นช่วงเช้า ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ส่วนการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ (เอเปก) ที่ประเทศเกาหลีใต้ ตนขอเป็นมติ ครม.คลุมไว้ก่อนหากไม่สามารถไปได้ จะมอบหมายให้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เข้าร่วมแทน แต่มีเรื่องที่จะหารือกับผู้นำหลายประเทศ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเหมือนกัน ดังนั้น พยายามจะบริหารเวลาให้ดีที่สุด เพราะนอกจากกลุ่มอาเซียนและกลุ่มเอเปก จะมีการเชิญผู้นำที่อยู่นอกกลุ่มมาด้วย และในส่วนของประเทศไทยช่วงนี้ได้รับการร้องขอในระดับผู้นำแบบทวิภาคีหลายราย ล้วนก่อให้เกิดการพัฒนาความร่วมมือด้านต่างๆ ตนจะพยายามบริหารเวลาให้ดีที่สุดต่อมาเวลา 16.00 น. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน พร้อมคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานกรุงกัวลาลัมเปอร์ เวลา 21.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ เร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) มีดาโต๊ะ ซรี โมฮาเม็ด คาเล็ด นอร์ดิน รมว.กลาโหมมาเลเซีย ต้อนรับ ภารกิจวันที่ 26 ต.ค. นายอนุทินจะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง และพิธีลงนามเอกสารรับติมอร์ เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ นายกฯมีกำหนดหารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อกระชับความร่วมมือในประเด็นเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค ก่อนเข้าร่วมพิธีลงนาม “Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand” ว่าด้วยแนวทางการดำเนินการบริหารจัดการชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อนำไปสู่ความสงบเรียบร้อยของสองประเทศ มีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยาน สะท้อนถึงความจริงใจของไทยต่อการผลักดันกระบวนการสันติภาพชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมส่วนการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ที่เกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-1 พ.ย. นายอนุทิน กล่าวว่า ได้ขอมติคณะรัฐมนตรีว่า ถ้าไม่มีประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ที่จะต้องให้ผู้นำประเทศร่วมหารือ จะให้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ทำหน้าที่แทน ส่วนตัวมีความตั้งใจอยู่แล้วว่าจะต้องอยู่ในประเทศด้านนายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า การลงนามในคำประกาศที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นการย้ำความตกลงเรื่องเดิมที่ไทยและกัมพูชามีการประชุม JBC-GBC ได้หารือข้อตกลง 4 ข้อของฝ่ายไทยที่เสนอไปยังกัมพูชา ทั้งการถอนอาวุธหนัก การกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ และการจัดระเบียบชายแดน ซึ่งทั้ง 4 เรื่องได้เริ่มแล้ว ไทยหวังว่าการมีสหรัฐฯมาร่วมสังเกตการณ์จะทำให้ฝ่ายกัมพูชามีความจริงใจ ตั้งใจจริง มีสปิริตของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และยังไม่ใช่ข้อตกลงสันติภาพขณะเดียวกัน พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงผลการประชุมหารือระหว่างแม่ทัพภาคที่ 2 และผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ณ จุดผ่านแดนช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 25 ต.ค.ในประเด็นการเห็นชอบ “แผนปฏิบัติการ (Action Plan)” ว่าด้วยการปรับอาวุธหนักและอาวุธที่มีการยิงทำลายออกจากพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี อันเป็นผลจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Com mittee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 20-23 ต.ค. ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่า การหารือเป็นไปด้วยบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ทั้งสองฝ่ายยืนยันความเห็นชอบในการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อนำไปสู่ผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมแท้จริงโฆษกกองทัพบกกล่าวอีกว่า ส่วนของการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการเข้าสังเกตการณ์ผลการปฏิบัติตาม “แผนปฏิบัติการ” ในการปรับอาวุธหนักและอาวุธที่มีการยิงทำลายออกจากพื้นที่ขัดแย้งของทั้งสองประเทศ ฝ่ายไทยได้ยืนยันความพร้อมว่าสามารถให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนฝ่ายกัมพูชาแจ้งว่าอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม คาดว่าจะจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ได้ในวันที่ 26 ต.ค.นี้ และหลังจากนั้นจะเชิญฝ่ายไทยเข้าร่วมประชุมเพิ่มเติมภายใน 1-2 วัน เพื่อหารือในการกำหนดวันเริ่มปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้คณะทำงานร่วมประสานงาน อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ข้อตกลงที่มีระหว่างกันเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และคงไว้ซึ่งบรรยากาศแห่งความร่วมมือระหว่างกันวันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เผยกับผู้สื่อข่าวถึงการเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย เพื่อลงนามในข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชา ในวันที่ 26 ต.ค. และเดินทางกลับประเทศไทย จากนั้น เพื่อเตรียมงานพระบรมศพของสมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน รวมทั้งยกเลิกการเข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเปก ที่เมืองคยองจู เกาหลีใต้ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.ต่อมาช่วงเย็น ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 สรุปสถานการณ์ประจำวันที่ 25 ต.ค. ณ เวลา 17.00 น. ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว ที่น่าสนใจคือสืบเนื่องจากการลงนามข้อตกลงของการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับการจัดการพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว โดยกำหนดให้มีการสำรวจร่วมและการวางหลักเขตชั่วคราวในพื้นที่สำคัญระหว่างหลักเขต แดนหมายเลข 42 ถึง 47 นั้น เมื่อวันที่ 24 ต.ค.กกล.บูรพา โดย ฉก.12 พร้อมด้วย พ.อ.ยุทธพล สุจริต แม่กองสนามสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจให้ประชาชน บ.หนองจาน และ บ.หนองหญ้าแก้ว เกี่ยวกับการกำหนดให้มีการปักหมุดชั่วคราว และในวันนี้ พ.อ.ยุทธพล จะปักหมุดชั่วคราว ซึ่งจากการคำนวณจากหลักหมุดที่ 42 ถึง 47 ต้องวางหมุดชั่วคราวทั้งหมด 838 หมุด จากหลักเขตทั้งสองพื้นที่ต้องปักหมุดทุก 25-50 เมตร เพื่อให้เห็นแนวของแต่ละฝ่ายที่อ้างสิทธิ์ จากนั้นจะเป็นหน้าที่ระดับนโยบายที่จะปรับการถือครองพื้นที่ต่อไป ซึ่งจะมีการคำนวณในโปรแกรม GPS เมื่อลงพื้นที่จริง หากเดินครบ 25 หรือ 50 เมตร จะมีสัญญาณดังขึ้นแล้วปักหมุดชั่วคราว เพื่อให้เห็นแนวของแต่ละฝ่ายที่อ้างสิทธิ์ และหลักหมุดอาจจะมีการทำสัญลักษณ์ เช่น กัมพูชาทาสีแดง ไทยทา สีน้ำเงิน ที่ปักหมุด ซึ่งการลงไปปักหมุดชั่วคราว จะไปพร้อมกันทั้งสองฝั่งสำหรับการจัดสร้างบังเกอร์และหลุมหลบภัยประชาชน ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว กองทัพภาคที่ 1 ระบุว่า ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ในการสร้างหลุมหลบภัย จำนวน 3 จุด และบังเกอร์ จำนวน 10 จุด ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว ประมาณร้อยละ 30 และได้เริ่มดำเนินการสร้างบังเกอร์เพิ่มเติมตามแผนอีก 2 จุด โดยเริ่มต้นก่อสร้างในพื้นที่ ต.ป่าไร อ.อรัญประเทศ ปัจจุบันก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว ประมาณร้อยละ 70อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่