สถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจการคลังต่อการกำหนดนโยบายภาครัฐ ที่สำนักงบประมาณของรัฐสภา หรือพีบีโอ นำเสนอประกอบการประชุมรัฐสภาในวาระรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ระบุสัญญาณเตือนเสถียรภาพและความมั่นคงทางการคลัง ที่สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณที่เพิ่มขึ้นการปฏิรูปโครงสร้างรายได้การคลังอย่างเป็นระบบ เป็นข้อเสนอต่อรัฐบาลที่จำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อยกระดับฐานะการเงินการคลังให้รองรับภาระรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ การขยายขอบเขตสวัสดิการสาธารณะ แนวทางปฏิรูปดังกล่าวต้องขยายฐานจัดเก็บภาษีครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจรวมถึงเปิดช่องว่าง แก้ไขข้อบกพร่องในระบบภาษี ทบทวนและศึกษาปรับเพิ่มอัตราภาษีในประเภทต่างๆอย่างเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยต้องทำด้วยความรอบคอบ พร้อมพัฒนาประ สิทธิภาพระบบจัดเก็บภาษี รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีอย่างเป็นระบบ นับเป็นข้อเสนอที่รัฐบาลชุดใหม่สมควรต้องรับฟังตรงกับงบประมาณ ปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยทุกฝ่ายเป็นห่วงสถานะการเงินการคลังของประเทศที่ใกล้โคม่า โดยต้องจ่ายหนี้ภาครัฐและคืนเงินคงคลังสูงเป็นประวัติการณ์ 555,400 ล้านบาท สูงกว่างบประมาณ ปี 2568 ถึง 135,000 บาท และต้องกู้เงินมาลงทุน 860,000 ล้านบาทประเทศไทยจ่อถูกพันธนาการด้วยหนี้สินจำนวนมหาศาล ทั้งจากหนี้ภาครัฐ หนี้ภาคเอกชน หนี้ครัวเรือน รวมถึงหนี้นอกระบบ สถานการณ์แบบนี้รัฐบาลย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นต้องรีดเลือดกับปู จัดเก็บภาษีเพิ่มหรือต้องกู้เงินเพิ่ม ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลและพรรค การเมืองต่างๆควรต้องเร่งหาทาง ออกให้ประเทศแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และทำได้ทันที คือ งบลงทุน 860,000 ล้านบาท ที่มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ลูกหม้อกระทรวงการคลัง คงเคยได้ยินสำนวน “ใครเป็นคนวิ่งเต้นงบ” หมายถึงเริ่มตั้งแต่ตั้งงบฯโครงการต่างๆ ที่สำนักงบประมาณ วางงานบวกงบฯเพิ่ม 30% เสมอ เพื่อป้องกันโดนตัดหรือจ่ายใต้โต๊ะหากรัฐบาลเอาจริงกับคอร์รัปชันทุกรูปแบบ ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ต้องไม่มีทุจริตในรัฐบาลของผม” รัฐบาลต้องแสดงความจริงใจโดยเปิดเผยข้อมูลโครงการลงทุนทั้งหมด เพื่อความโปร่งใส ให้ทุกฝ่ายสามารถร่วมตรวจสอบได้ อาจช่วยประหยัดงบลงทุนได้ 30% หรือ ราว 258,000 ล้านบาท.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม