คนไทยทั่วประเทศกำลังจับตามอง “คณะรัฐมนตรีชุดใหม่” ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ที่ก้าวขึ้นมานำทีมรัฐบาลผสมซึ่งผสานพลังระหว่าง นักการเมืองมือเก๋า อดีตข้าราชการผู้มากประสบการณ์และผู้บริหารจากภาคเอกชนที่พร้อมลงสนามจริงเป้าหมายในการแก้ปัญหาสำคัญ 4 ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ ภัยสังคม ภัยธรรมชาติ และความมั่นคงโดยเฉพาะคลี่คลายความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้ข้อจำกัดเวลา 4 เดือนในการสร้างผลงานให้เห็นผลเชิงประจักษ์กับภารกิจสุดท้าทายนี้ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มองว่าถ้าพิจารณาหน้าตา ครม.ใหม่แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ “กลุ่มแรกรัฐมนตรีคนนอก” เมื่อดูรายชื่อถูกเปิดเผยแล้วหลายฝ่ายมองว่าเป็นสัญญาณบวกเพราะบุคคลเหล่านี้มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือจะช่วยสร้างความหวังให้รัฐบาลได้ พอมาดู “กลุ่มสอง รัฐมนตรีจากฝ่ายการเมือง (พรรคร่วมรัฐบาล)” มีการแต่งตั้งจากฝ่ายการเมืองเข้ามาโดยภาพลักษณ์ดูเป็นเชิงลบ “ดึงความน่าเชื่อถือลงพอสมควร” ทำให้ภาพรวมเหมือนเป็นสถานการณ์แบบสะเทือนน้ำสะเทือนบก ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าจะออกมาเป็นบวก หรือลบ ต้องรอดูผลงานแต่ละคนต่อไปแต่หากเจาะลงดู “การแก้ปัญหามิติด้านความมั่นคง” จะสังเกตเห็นว่ารัฐมนตรีบางคนโดยเฉพาะในสายความมั่นคงยังมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลชุดเดิมอย่าง “รมว.กลาโหมคนใหม่” เดิมเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยฯ (รมช.) ในรัฐบาลที่แล้วทำให้การแก้ปัญหาความมั่นคง “ชายแดนไทย–กัมพูชา” ยังมีปัญหาดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นแล้วในช่วงต้นก็มีเสียงสะท้อน “การทำงานของ รมว.กลาโหมกับกองทัพ” ส่งผลให้มีการแต่งตั้งอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ขึ้นมาเป็น รมช.กลาโหม เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างภายใน “ด้วย รมช.คนนี้เป็นเพื่อน ผบ.ทบ.และเป็นเพื่อนแม่ทัพภาคหลายคน” จึงถูกดึงเข้ามาเพื่ออุดช่องว่างระหว่าง รมว.กลาโหมคนใหม่กับกองทัพนั้นทำให้รัฐบาลจึงคาดหวังว่า “จะช่วยเชื่อมรอยต่อฝ่ายการเมืองกับกองทัพ” ในการประสานงานให้ราบรื่นขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระดับหนึ่ง จึงต้องจับตาเอกภาพการทำงานจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะบทบาท รมว.กลาโหมจะมอบหมายให้ รมช.ประสานกับกองทัพที่ต้องประเมินอีกครั้งเมื่อรัฐบาลเริ่มทำงานจริงๆแล้วปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา “กรณีชาวบ้านกัมพูชาเข้ามารื้อลวดหนาม และป่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่ จ.สระแก้ว” เรื่องนี้จำเป็นต้องรอนโยบายจากรัฐบาลในการแก้ปัญหาที่ “ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันหลายฝ่ายอย่างเป็นทีมเวิร์ก” เพราะปัจจุบันการทำงานของแต่ละฝ่ายมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันออกไป อย่างกรณีการเปิด-ปิดด่าน “กองทัพไทย” เห็นควรปิดไว้ก่อนจนกว่าจะมั่นใจว่ากัมพูชาจะไม่เป็นภัยคุกคาม เรื่องนี้ต้องแก้ด้วยนโยบายความมั่นคงเร่งด่วนจากรัฐบาลในการเสริมสร้างความเข้มแข็งรองรับการสถาปนาความมั่นคงพื้นที่ชายแดนในพันธกิจ 4 ประการ เพื่อเสริมขีดความสามารถ และลดศักยภาพกำลังรบฝ่ายกัมพูชา คือพันธกิจแรก...“การปฏิบัติการพิเศษในพื้นที่ชายแดน” เน้นการแทรกซึม ข่าวกรอง เพื่อระบุการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม และจัดทำเป้าหมายฐานยิง ศูนย์บัญชาการ หรือระบบการส่งกำลังบำรุงฝ่ายตรงข้ามพันธกิจที่สอง..“ลาดตระเวน ตรวจการณ์ วางกำลังป้องกันชายแดน” หากยึดพื้นที่คืน และสถาปนาความมั่นคงได้แล้วต้องเพิ่มมาตรการป้องกัน เช่น การวางเครื่องกีดขวาง ใช้โดรน กล้อง CCTV ระบบแจ้งเตือนภัย หรือการยกระดับแนวรั้วความมั่นคง ซึ่งภารกิจนี้ยังคงเป็นความรับผิดชอบของกองทัพอยู่เช่นเดิมพันธกิจที่สาม...“จัดระเบียบความมั่นคงชายแดน” ที่ต้องบูรณาการระหว่างฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ทหาร มุ่งเน้นยุทธศาสตร์การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในแนวชายแดน “พิทักษ์ความมั่นคงแนวหลัง” หากเกิดการสู้รบ หรือเหตุฉุกเฉินต้องเตรียมอพยพประชาชนไปพื้นที่ปลอดภัยทั้งยังต้องเชื่อมโยงกับ “ยุทธศาสตร์ป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ” เพราะตะเข็บชายแดนเป็นจุดอ่อนสู่ปัญหาความมั่นคง พันธกิจที่ 4...“สร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน” เพื่อลดความตึงเครียดและลดภัยคุกคามฝ่ายตรงข้าม หาก 4 พันธกิจทำให้เข้มแข็งจะลดทอนขีดความสามารถกัมพูชาสร้างเสถียรภาพชายแดนได้ย้ำประเด็น “การแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา” ด้วยปัจจุบันไทย-กัมพูชายังคงปฏิบัติตามข้อตกลงในเวที GBC และ RBC โดยหลีกเลี่ยงการยั่วยุ และไม่ใช้กำลังทางทหารในพื้นที่พิพาท แต่เมื่อไทยสามารถสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่ได้แล้วก็ยืนยันว่าบ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เป็นของไทย 100% โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ทราบอีก “เพียงแต่อดีตอาจยึดหลักมนุษยธรรมมากเกินไป” กลายเป็นการปล่อยปละละเลยหรือไม่ “ชาวกัมพูชาจึงรุกล้ำเข้ามา” แต่หลังการสู้รบไทยสามารถผลักดันออกไป และสถาปนาความมั่นคงได้สำเร็จเพียงแต่ฝ่ายกัมพูชาเข้าใจผิดว่าเป็นพื้นที่ของตน จึงพยายามกลับเข้ามาก่อกวนและยั่วยุอีกครั้งแม้ว่าไทยใช้กฎอัยการศึก “เปิดทางให้กองทัพมีอำนาจเบ็ดเสร็จ” แต่ไม่ได้ใช้มาตรการทางทหารคงเน้นบังคับใช้กฎหมายผ่านตำรวจตระเวนชายแดน และชุดควบคุมฝูงชนในการจัดการผู้รุกล้ำเข้ามาในไทยที่กระทำผิดกฎหมาย เช่น ลักลอบเข้าเมือง ตัดลวดหนามทำลายทรัพย์สินราชการ ใช้ความรุนแรงขัดขวางเจ้าหน้าที่ไทยล้วนเป็นการปรับการปฏิบัติใหม่ “ทหารถอยไปแนวหลัง” เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาไทยละเมิดข้อตกลง แม้ไทยยึดข้อตกลงเคร่งครัด “ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา” ก็ส่งหนังสือถึงยูเอ็นกล่าวหาไทยใช้กำลังทหารรุกล้ำ “อันเป็นการใช้กลยุทธ์ประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็ก” เป็นสูตรสำเร็จแรงกดดันทางภาพลักษณ์ให้ไทยเสียหายเมื่อเป็นเช่นนี้เราต้องทำงานแบบทีมเวิร์กโดยให้กองทัพรวบรวมข้อมูลหลักฐานส่งต่อให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า “ไทยใช้ตำรวจบังคับใช้กฎหมายกับผู้รุกล้ำในการปรับกลยุทธ์เผชิญเหตุ” แม้ประกาศกฎอัยการศึกก็เพื่อแสดงอำนาจอธิปไตยและปกป้องประเทศ ดังนั้นต้องรีบชี้แจงโต้แย้งฝ่ายกัมพูชากล่าวหาไทยทันทีโดยเฉพาะชุดสังเกตการณ์ร่วมอย่าง “มาเลเซียในฐานะประธาน” ทั้งประเทศพี่ใหญ่สหรัฐฯและจีน พยานในเหตุการณ์ ให้เข้าใจว่าไทยดำเนินการอย่างเหมาะสมทั้งชี้แจงตอบโต้ข้อกล่าวหาจากกัมพูชาต่อสหประชาชาตินี่คือความหมายของการทำงานเป็นทีมเวิร์ก “ในการจัดระเบียบความมั่นคงชายแดนอย่างเข้มแข็ง” ถือเป็นการเผชิญเหตุที่ประเทศ ไทยได้ปฏิบัติการตามมาตรฐานสากลอย่างถูกต้องที่สุดแล้ว.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม