อุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ “ยังเป็นปัญหาสร้างความสูญเสียต่อชีวิตคนไทยสูงทุกปี” แม้ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐจะงัดมาตรการเชิงรุกออกมาป้องกันในช่วง 7 วันอันตรายอย่างเข้มข้น แต่ในทางปฏิบัติกลับสะท้อนให้เห็น “ความเสี่ยงอุบัติเหตุไม่ได้เกิดเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น” หากมักเริ่มตั้งแต่ก่อนเข้าสู่ 7 วันอันตราย ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาหนาแน่นที่ยังไม่มีมาตรการเข้มงวดตามการวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง 2 ปี “พบว่าเพียงแค่ 2 วัน ก่อนเริ่มมาตรการ 7 วันอันตราย” มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสะสมแล้วมากกว่าหนึ่งร้อยราย สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงก่อนช่วงเทศกาลเสมอ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) บอกว่าถ้าเทียบข้อมูลปีที่แล้ว “ในวันปกติจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฉลี่ย 40 รายต่อวัน” แต่ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีการเดินทางเพิ่มมากขึ้น และมีการดื่มสังสรรค์ร่วมด้วย แต่อัตราการเสียชีวิตกลับใกล้เคียงวันปกติ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าหากทุกฝ่ายมีการจัดการที่เข้มข้นจริงจังก็จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่งแต่สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ “ความเสี่ยงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะช่วง 7 วันอันตราย” จากข้อมูลย้อนหลัง 2-5 ปีมานี้พบรูปแบบอุบัติเหตุคล้ายคลึงกัน หลังวันคริสต์มาสประชาชนมักจะเดินทางตั้งแต่วันที่ 26-28 ธ.ค.โดยการเดินทางหลักแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.การเดินทางเพื่อท่องเที่ยว เช่น ขึ้นภาคเหนือ หรือเดินทางไปต่างประเทศส่วนที่ 2.เดินทางกลับภูมิลำเนา ตามข้อมูลปี 2568 จะเห็นว่าช่วง 2 วันก่อนเข้าสู่ 7 วันอันตรายนั้นมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 110 ราย และในปี 2567 ก็มีผู้เสียชีวิต 118 ราย ปัจจัยมาจากการจราจรไม่หนาแน่นทำให้ใช้ความเร็วสูงร่วมกับภาวะอ่อนล้า และหลับในอันเชื่อมโยงจากการเร่งปิดงานปลายปีต้องทำงานหนักจนอดนอน เมื่อขับรถทางไกลก็เสี่ยงเกิดภาวะ Fatigue นำสู่อุบัติเหตุรุนแรง ข้อมูลชี้ชัดแค่ 2 วันก่อนเข้า 7 วันอันตราย มีผู้เสียชีวิตเกือบครึ่งของยอดทั้งหมดแล้วก็ไม่ถูกนับรวมใน 7 วันอันตราย ทั้งที่เป็นช่วงความเสี่ยงสูงจนการจัดการอุบัติเหตุช่วงเทศกาลมีข้อจำกัด ดังนั้นก่อนการเดินทางหลักควรให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยเป็นพิเศษความเสี่ยงถัดมาคือ “การเหมารถตู้กลับภูมิลำเนา” หากดูในปี 2567-2568 ผู้โดยสารเดินทางไปในทางเดียวกันมักเลือกเหมารถตู้จดทะเบียนเป็นรถส่วนบุคคล (ป้ายฟ้า) และไม่มี GPS หรือไม่ถูกตรวจสอบพฤติกรรมของการขับขี่ ทำให้มีการขับขี่รถต่อเนื่องโดยไม่พักส่งผลให้เกิดความอ่อนล้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่างจาก “รถสาธารณะจดทะเบียนป้ายเหลือง” ที่ต้องติดตั้ง GPS สามารถติดตามชั่วโมงการทำงานและความเร็วได้ ทำให้ผู้ขับขี่ไม่กล้าขับต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือใช้ความเร็วเกินกำหนด เพราะมีบทลงโทษชัดเจนเหตุนี้ปี 2568 จึงพบอุบัติเหตุจากรถตู้ 3 กรณี คือ ภาคเหนือ 1 กรณี และภาคอีสาน 2 กรณี ซึ่งล้วนเกิดขึ้นก่อนเข้าสู่ช่วง 7 วันอันตราย สาเหตุสำคัญมาจากการรับงานต่อเนื่องจนผู้ขับขี่แทบไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอสรุปความห่วงใยแรกคือ “การจัดการความเสี่ยงก่อนเข้าสู่ช่วง 7 วันอันตราย” เพราะอุบัติเหตุรุนแรงมักเกิดก่อนเทศกาล จึงต้องมีมาตรการป้องกันตั้งแต่ช่วงก่อนการเดินทางหลักไม่ใช่เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้นทว่าเมื่อเข้าสู่ “ช่วง 7 วันอันตราย” ความเสี่ยงยังเป็นรูปแบบเดิมแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ 1.ช่วงเดินทางกลับภูมิลำเนา ปัจจัยหลักคงเป็นเรื่องการใช้ความเร็ว และไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุมักมีความรุนแรงสูงถ้ามาดูการเดินทางด้วย “รถโดยสารประจำทาง” ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าเป็นกังวลจากบทเรียนในช่วงสงกรานต์ 2 ปีมานี้ “วันหยุดยาวคาบเกี่ยวกับวันเสาร์–อาทิตย์” ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องแล้วในปีนี้รัฐบาลก็ประกาศหยุดเพิ่มในวันที่ 2 ม.ค.2569 ส่งผลให้รูปแบบการเดินทางกลับกรุงเทพฯเดิมต้องเร่งกลับวันที่ 1-2 ม.ค.2569 ทำให้ถูกขยับออกไปเป็นวันที่ 4-5 ม.ค. กลายเป็นภาระของระบบขนส่งสาธารณะยืดยาวขึ้น เช่นนี้รถโดยสารสาธารณะต้องวิ่งรถถี่ต่อเนื่องทุกวัน สิ่งที่ปรากฏชัดก็จะเป็นความอ่อนล้า และการหลับในของพนักงานขับรถถัดมาคือ 2.ช่วงเฉลิมฉลอง อันเป็นช่วงเดินทางถึงบ้านแล้วก็มักมีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับ “การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” โดยในปีนี้มีประเด็นที่น่ากังวลเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการปลดล็อกเวลาห้ามขายเครื่องดื่ม ทำให้จำหน่ายได้ตั้งแต่เวลา 14.00 น. กลายเป็นเอื้อให้การดื่มฉลองเริ่มได้เร็ว และต่อเนื่องยาวนานกว่าที่ผ่านมาเดิมมักเริ่มดื่มช่วงปีใหม่ “ตอนเย็นยาวถึงนับถอยหลังเคาต์ดาวน์” แต่ในบริบทปัจจุบันสามารถเริ่มตั้งวงดื่มได้ตั้งแต่บ่าย 2 และดื่มยาวไปจนถึงเที่ยงคืน ก่อนจะแยกย้ายเดินทางกลับจนเสี่ยงต่ออุบัติเหตุสูงอย่างมากอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า “บริบทของสังคมไทย” แม้เมื่อก่อนนี้ยังไม่มีการปลดล็อกก็มีพฤติกรรมการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตุนไว้ดื่มที่บ้านอยู่แล้ว แต่สิ่งที่แตกต่างในรอบนี้คือ “ความสะดวก และความง่ายในการเข้าถึงเพิ่มขึ้น” สามารถเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ และซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตั้งแต่ช่วงบ่าย 2 เลยด้วยซ้ำสิ่งที่น่ากังวลคือ “การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ” ส่วนใหญ่ไปกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ใกล้บ้านตามข้อมูลปี 2568 พบว่า เกือบ 43% ของผู้เสียชีวิตอยู่ในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร และเกือบทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ถ้าวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า “กลุ่มผู้เสียชีวิต 3 ใน 4 ไม่ได้สวมหมวกกันน็อก” แล้วประมาณกว่า 30% เป็นอุบัติเหตุจากการล้มเอง ซึ่งสะท้อนปัจจัยเสี่ยงที่เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจนจากการดื่มเฉลิมฉลองใกล้บ้าน ไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย และขับขี่กลับในสภาพไม่พร้อม ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆก็ตามเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อยากฝากถึง “หน่วยงานรัฐ” ต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุช่วงก่อนถึง 7 วันอันตรายด้วย เนื่องจากมีสถิติปรากฏชัดเจนเพียงแค่ 2 วันก่อนเริ่มเทศกาล มักมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสะสมแล้วมากกว่าหนึ่งร้อยราย ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าความเสี่ยงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในช่วงเทศกาลที่เป็นทางการเท่านั้นขณะเดียวกันก็ยังเน้นย้ำถึง “ปัญหาอุบัติเหตุใกล้บ้านไม่เกิน 5 กม.” ที่มีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตในทุกเทศกาล และสาเหตุหลักก็เกี่ยวกับการดื่มเฉลิมฉลอง เมาแล้วขับรถจักรยานยนต์ไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัยฉะนั้นความเสี่ยงอุบัติเหตุน่าห่วงในปีนี้คือ “การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และช่วงก่อนเข้าสู่ 7 วันอันตราย” จำเป็นต้องมีมาตรการเฝ้าระวังและการสื่อสารเตือนภัยกับประชาชนอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม