ชายแดนไทย-กัมพูชา กลับมาเงียบสงบเป็นครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์ หลังข้อตกลงหยุดยิงมีผลทันที โดย 24 ชั่วโมงแรก ไร้เสียงการปะทะทุกแนวสู้รบ รวมถึงให้ประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยกลับเข้าบ้านได้ ด้าน “บิ๊กเล็ก” ย้ำเป็นการ “หยุดยิงแบบมีเงื่อนไข” ไม่กระทบต่อศักดิ์ศรีหรืออธิปไตยของไทย แต่เป็นการทดสอบความจริงใจไม่ใช่ถอยหรือยอมแพ้ ด้านทุกเหล่าทัพพร้อมประสานเสียงไทยยังมีสิทธิป้องกันตัวหากถูกละเมิดก่อน ขณะเดียวกันปรับสถานะ “ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา” เป็น “ศูนย์ประสานงานข่าวข้อมูล” ตามข้อ 15 ของข้อตกลงฯ รับไม้ต่อในการชี้แจงข้อเท็จจริง ต้านเฟกนิวส์-ข่าวยั่วยุพ้น 24 ชั่วโมงแรกของข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา ที่เริ่มมาตั้งแต่เที่ยงวันที่ 27 ธ.ค.จนถึงบ่ายวันที่ 28 ธ.ค.ปรากฏว่าหลายพื้นที่ที่เคยมีการปะทะดุเดือด กลับเงียบสงบไร้เสียงอาวุธหนักเบาใดๆ โดยเวลา 14.30 น.ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ททบ.5 พล.อ.อ.ประภาสสอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา กล่าวถึงภาพรวมภายหลังทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) วันที่ 27 ธ.ค.ว่าจะร่วมกันดำเนินการตามที่ได้ลงนามในแถลงการณ์การประชุม เพื่อเปลี่ยนท่าทีจากการสู้รบและการยั่วยุกัน ไปสู่การใช้เวทีทางการทูตและกลไกระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การดำเนินการทั้งหมดตามแถลงการณ์ จะนำไปสู่การปฏิบัติโดยมีกลไกควบคุม และมีการตรวจสอบ โดยเฉพาะกรณีที่มีการใช้อาวุธเกิดขึ้นหลังการหยุดยิง ไทยยังคงมีสิทธิ์ในการตอบโต้และป้องกันตนเองอย่างเต็มที่พล.อ.อ.ประภาสยังกล่าวถึงความกังวลใจต่อกรณีฝ่ายกัมพูชาจะเสริมกำลังอาวุธ จากการเผยแพร่ภาพเครื่องบินขนส่งจากประเทศเบลารุส บินไปยังกรุงพนมเปญ หลังมีการลงนามในแถลงการณ์หยุดยิงว่า ขอให้เชื่อมั่นในกองทัพอากาศ เราทราบว่าจุดเริ่มต้นและปลายทางไปถึงจุดไหน และเครื่องบินลำนี้บรรทุกอะไรบ้าง ขอให้มั่นใจ เรามีมาตรการป้องกัน ยืนยันว่าไม่ได้มีภัยคุกคามอะไร ตอนนี้เราต้องการสร้างบรรยากาศในเรื่องของการช่วยเหลือประชาชน และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เพื่อนำไปสู่สันติสุขอย่างยั่งยืนด้าน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก แถลงว่า กองทัพบกติดตามสถานการณ์บริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวานนี้ (27 ธ.ค.) ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่ประมาท และเฝ้าติดตามสถานการณ์ในทุกจุดตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงแต่อย่างใดรองโฆษกกองทัพบกกล่าวถึงที่ตั้งข้อสังเกตถึงข้อที่ 4.ของแถลงการณ์ร่วมที่อนุญาตให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายสามารถเดินทางกลับบ้านเรือนได้ และประชาชนฝ่ายกัมพูชาที่เคยอาศัยในพื้นที่บ้านหนองจาน ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในพื้นที่ที่ไทยควบคุมว่า ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากแถลงการณ์ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า การเดินทางกลับเข้าที่พักอาศัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย จะต้องอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันของแต่ละประเทศ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับข้อ 2.ของแถลงการณ์ว่า พื้นที่ปัจจุบัน คือพื้นที่ที่ทหารวางกำลังไว้ ดังนั้นในพื้นที่ที่ฝ่ายไทยได้ควบคุมไว้แล้วถือว่าเป็นเขตแดนของไทย ชาวกัมพูชาจึงไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามายังพื้นที่ดังกล่าวได้อีก สำหรับการแถลงข่าวของศูนย์อำนวยการร่วม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้ปรับรูปแบบการแถลงจากการรายงานสถานการณ์มาเป็นการตอบคำถามและข้อสงสัยที่เกิดขึ้น หลังจากมีการลงนามใน joint statement : JS โดยเป็นการแถลงข่าวครั้งสุดท้าย ก่อนจะมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานข่าวข้อมูล หรือมีเดียเซ็นเตอร์ ตามข้อ 15 ของ JS เพื่อรับไม้ต่อในการชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อตอบโต้ข่าวสารที่มีการบิดเบือนด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม กล่าวถึงข้อตกลงการหยุดยิง และจุดยืนของประเทศไทย ว่า การหยุดยิงครั้งนี้ไม่ใช่การยอมจำนน แต่เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของอีกฝ่าย ไทยเห็นชอบ “การหยุดยิงแบบมีเงื่อนไข” เพื่อทดสอบว่าอีกฝ่ายสามารถยุติการใช้อาวุธและการคุกคามได้จริงหรือไม่ ย้ำว่าความสงบต้องวัดจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่จริง ไม่ใช่จากคำประกาศหรือถ้อยแถลงฝ่ายเดียว การหยุดยิงครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการเชื่อใจ แต่เป็นเรื่องของการตรวจสอบความจริงใจ โดยไทยยึดหลักว่าการสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์ต้องสะท้อนผ่านการกระทำ ไม่ใช่เพียงคำพูดพล.อ.ณัฐพลยืนยันด้วยว่าการหยุดยิงครั้งนี้ไม่กระทบต่อศักดิ์ศรีหรืออธิปไตยของไทย ทุกการตัดสินใจยึดความปลอดภัยของประชาชนและศักดิ์ศรีของชาติเป็นหลักสูงสุด รัฐบาลย้ำว่าจะดูแลทหารและประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ทั้งด้านสิทธิ สวัสดิการ การเยียวยา รวมถึงการดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และการฟื้นฟูกำลังพลหลังการปฏิบัติภารกิจอย่างจริงจังจากนั้นเหล่าทัพที่ดูแลพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาได้สรุปการปฏิบัติในการทวงคืนพื้นที่อธิปไตยไทยตลอด 20 วันที่ผ่านมา (8-27 ธ.ค.2568) โดยเพจ Army military force โพสต์ข้อความว่า พ.ท.จตุพล นิยมปัทมะ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 12 (ร.3 พัน.2) ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา นำกำลังพลเปิดปฏิบัติการ “ย่าโมออกศึก” ยึดคืนพื้นที่เนิน 400 (เขาสัตตะโสม) นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการทางทหาร จนสำเร็จในเวลา 11.09 น. วันที่ 27 ธ.ค. และสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่ อัญเชิญธงชาติไทยปักขึ้นเหนือเนินเขาสัตตะโสม บันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติ ภารกิจทวงคืนแผ่นดินไทยนอกจากนี้ เพจดังกล่าวยังได้โพสต์ข้อความว่าเมื่อเวลา 11.00 น. เครื่องบินขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ (Cargo) Boeing 747-4FTF (400F) ไฟลท์ CAO10903 ทะเบียน B-2475 ของสายการบิน Air China ได้ลงจอด ณ สนามบินนานาชาติเตโช จ.กันดาล กัมพูชา มีรายงานว่าเที่ยวบินดังกล่าวบินตรงมาจากนครเซี่ยงไฮ้ มุ่งหน้าสู่พนมเปญ ในเวลาต่อมา รัฐบาลจีนประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้จัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมฉุกเฉินให้แก่รัฐบาลกัมพูชา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยนายหวัง เหวินปิน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำกรุงพนมเปญ ร่วมเป็นประธานในพิธีมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ และเครื่องบินได้บินออกจากสนามบินนานาชาติเตโช เมื่อเวลา 15.05 น. เป็นที่เรียบร้อยขณะที่ทีมโฆษก กอ.รมน.เผยแพร่คลิปพิธีสถาปนาธงชาติไทยบนฐานปฏิบัติการ “เทิดศักดิ์” ทหารสังกัด ร.23 พัน.3 วีรบุรุษผู้พลีชีพกลางสมรภูมิปราสาทคนา เพื่อเกียรติยศ เป็นพื้นที่ที่สามารถยึดได้เป็นที่แรก แต่ปักธงเป็นที่สุดท้ายในเวลา 12.00 น. วันที่ 27 ธ.ค. เพื่อประกาศให้รู้ว่าทหารไทยจะหยัดยืนไม่ยอมให้ใครล่วงละเมิดอธิปไตยได้อีกต่อมาช่วงค่ำวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.) พร้อม พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 และคณะ ลงพื้นที่ตรวจภูมิประเทศ เนิน 350 และปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ยืนยันการควบคุมพื้นที่อธิปไตยของไทยอย่างสมบูรณ์ ธงไตรรงค์โบกสะบัดอย่างสง่างามบนผืนแผ่นดินไทย และ เสธ.ทบ.ขอเป็นตัวแทนทหารไทยทุกนายในแนวหน้า ส่งสารถึงพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่า “ที่ที่เราเหยียบ แผ่นดินที่เรายืน จะเป็นของลูกหลานเราตราบกัลปาวสาน”สำหรับบรรยากาศตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 22, 25 และ 26 หน่วยงานทหารในกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ได้แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ชายแดนทั้ง 4 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี อนุญาตให้ประชาชนสามารถกลับภูมิลำเนาได้ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป ยกเว้นพื้นที่ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่เป็นจุดกระสุนตก จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 29 ธ.ค.ทำให้ประชาชนศรีสะเกษเก็บข้าวของออกจากศูนย์พักพิงชั่วคราวกลับสู่บ้านเรือน เหลือคนอยู่ไม่มากนักที่ยังคงอาศัยอยู่เพื่อรอดูสถานการณ์ ด้วยยังกังวลว่าการลงนามหยุดยิงครั้งนี้ ไทยอาจเสียเปรียบ เพราะไม่เชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาจะทำตามข้อตกลงหยุดยิงได้จริงเช่นเดียวกับที่ จ.สุรินทร์ ประชาชนตามศูนย์พักพิงชั่วคราวต่างๆ เก็บสิ่งของขึ้นรถยนต์ส่วนตัว เดินทางกลับบ้านเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ อ.เมืองสุรินทร์ แม้ต่างยังไม่มั่นใจและไม่เชื่อใจกัมพูชา แต่ด้วยความห่วงบ้านและสัตว์เลี้ยง จึงรีบเดินทางกลับทันที เหลือเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ขอรอให้ครบ 72 ชม. ของการหยุดยิงก่อน ไม่ต่างจากชาวบ้านในพื้นที่ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ที่อพยพออกจากศูนย์พักพิงชั่วคราว เดินทางกลับบ้าน บางรายที่ต้องเร่งรีบเข้ากรีดยางในสวนยางพารา เพื่อเตรียมนำไปขาย หาเงินไว้ใช้จ่ายในครอบครัวและจ่ายหนี้สิน หลังขาดรายได้มานานกว่าสัปดาห์ด้าน พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า สถานการณ์ใน จ.จันทบุรีและ จ.ตราด มีแนวโน้มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ร่วมกับทางฝ่ายปกครองประเมินสถานการณ์และพิจารณาอนุญาตให้ประชาชนเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา โดย กปช.จต.ยังคงมีการติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงเฝ้าระวัง 72 ชั่วโมง ภายหลังการหยุดยิงขณะที่ จ.สระแก้ว ที่อยู่ในการดูแลของกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) ตลอดวันแม้สถานการณ์จะดูสงบเมื่อไร้เสียงยิงตอบโต้กัน แต่ที่บ้านหนองจาน-หนอง หญ้าแก้ว อ.โคกสูง ทหารไทยยังต้องตรึงกำลังเข้มข้น หลังเข้าวางรั้วลวดหนามกั้นพื้นที่ของไทยที่ทวงคืนมาได้ ขณะเดียวกันตลอดเช้าจดบ่ายมีพิธีส่งร่างทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกับกัมพูชาในพื้นที่ จ.สระแก้ว กลับไปบำเพ็ญกุศลยังภูมิลำเนาอย่างสมเกียรติ โดยช่วงเช้ามีพิธีนำร่าง จ.ส.อ.พีรยุทธ น้าวิลัยเจริญ หรือ จ่าคิว ที่เสียชีวิตที่ อ.อรัญประเทศ จาก รพ.ค่ายจักรพงษ์ อ.เมืองปราจีนบุรี เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดแจ้ง ต.หน้าเมือง อ.เมืองปราจีนบุรีต่อด้วยมณฑลทหารบกที่ 19 ทภ.1 มีพิธีส่งร่าง พลทหาร ทิวตะวัน พลเยี่ยม ที่เสียชีวิต ณ สมรภูมิบ้านหนองจาน อ.โคกสูง ขึ้นเครื่องบินทหารจากกองบิน 3 วัฒนานคร ไปยังกองบิน 21 จ.อุบลราชธานี แล้วจัดขบวนเคลื่อนศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดหนองแมงดาราษบำรุง ต.ป่าก่อ อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ โดยมีประชาชนกว่า 200 คน พร้อมใจมายืนโบกสะบัดธงชาติไทย ร้องเพลงชาติไทย เพื่อส่งร่างพลฯ ทิวตะวันไปตลอดเส้นทางสำหรับการประชุมไตรภาคีไทย-กัมพูชา-จีน ระหว่างวันที่ 28-29 ธ.ค. ตามคำเชิญของนายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้พบปะหารือกับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศของไทย และนายปรัก สุคน รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น มีรายงานว่านายปรัก สุคน ได้เข้าพบหารือทวิภาคีกับนายหวัง อี้ โดยแสดงความชื่นชมอย่างลึกซึ้งต่อบทบาทที่แข็งขันและสร้างสรรค์ ของจีน ในการสนับสนุนให้มีการหยุดยิงในความขัดแย้งระหว่างกัมพูชา-ไทย การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของมหามิตรอย่างจีนในการผลักดันการแก้ไขความขัดแย้งด้วยการใช้การเจรจา วิธีการทางการทูต และการเคารพซึ่งกันและกัน มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการปฏิบัติการหยุดยิงอย่างเต็มรูปแบบ และมุ่งไปสู่สันติภาพที่ยุติธรรมและยั่งยืนขณะที่นายมาร์โค รูบิโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีที่ไทยและกัมพูชาสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงรอบใหม่หลัง 2 ฝ่ายปะทะกันตามแนวชายแดนอย่างหนักตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนายรูบิโอเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงกัวลาลัมเปอร์ที่ลงนามกันเมื่อ 26 ต.ค.อย่างเต็มที่อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่