ปิดฉากสุญญากาศทางการเมืองเมื่อ“อนุทิน ชาญวีรกูล หน.พรรคภูมิใจไทย” ได้เข้ารับพระบรมราช โองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศ ไทยไปแล้ว เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2568ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ผันผวน การก้าวขึ้นสู่ “ตำแหน่งผู้นำประเทศครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวนายกฯ” แต่คือบทพิสูจน์ครั้งสำคัญชี้ชะตาอนาคตของพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะถ้อยคำแถลงแรกตอกย้ำจุดยืนรัฐบาลพูดแล้วทำ โดยชูธงแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 4 ด้าน คือ เศรษฐกิจ ความมั่นคง ภัยธรรมชาติ และปัญหาสังคมกลายเป็นความท้าทายบนนาฬิกาที่เดินถอยหลังที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียง 4 เดือน ก่อนที่จะต้องยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจในสนามเลือกตั้งใหม่ แล้วรอบเวลาที่สั้นเช่นนี้ทำให้รัฐบาลไม่อาจวางนโยบายปฏิรูปโครงสร้างระยะยาวได้ แต่ต้องหันมาใช้กลยุทธ์ Quick Wins หรือการสร้างผลงานที่จับต้องได้และเห็นผลเร็วที่สุดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นซื้อใจประชาชนในการบริหารงาน 4 เดือนนี้ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มองว่า ตอนนี้คงต้องดูโควตาคนนอกมีเท่าใดด้วยพรรคประชาชนยกมือสนับสนุนโดยไม่เข้าร่วมรัฐบาล ทำให้ใช้โควตาตรงนี้ดึงคนมีความสามารถเข้ามาทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีได้ เป้าหลักคือ “ต้องการคนที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้เห็นผลเร็วที่สุดใน 4 เดือน” เพราะถ้าดูเวลาโดยรวมหลังยุบสภาก็เข้าสู่ช่วงรักษาการตามกรอบรัฐธรรมนูญ 5-6 เดือนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่เริ่มทำงานได้จริง ดังนั้น ครม.อนุทิน 1 น่าจะมีเวลาทำงานประมาณ 10 เดือน แต่ในช่วงมีอำนาจเต็มในการบริหารนั้นแค่ 4 เดือนถ้ามาดูการจัดสรรตามเสียงกลุ่มการเมืองที่ยกมือให้รัฐบาลชุดนี้ “หน้าตา ครม.อนุทิน 1” อาจไม่ดูดีในสายตาประชาชนเพราะเป็นการเมืองแบบเดิมๆไม่ได้สร้างความหวังใหม่ แต่หากได้คนนอกที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นรัฐมนตรีจะช่วยให้ ครม.ดูดีขึ้น และสามารถสร้างผลงานได้ในระยะเวลาจำกัดด้วยเท่าที่ฟังดูตอนนี้ “รัฐมนตรีคนนอก” อย่างกระทรวงการคลังก็ถือว่าเข้ามาบริหารด้านเศรษฐกิจให้แตกต่างจากแนวทางของพรรคเพื่อไทย “กระทรวงการต่างประเทศ” เข้ามาดูเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา “กระทรวงพาณิชย์” ก็มุ่งเน้นแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง เช่น ราคาสินค้า และค่าครองชีพถัดมาคือ “กระทรวงยุติธรรม” ควรเป็นคนนอกเนื่องจากมีบทบาทดูแลหน่วยงานสำคัญอย่างกรมราชทัณฑ์ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถ้าอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทยอาจถูกสังคมครหาได้ เพราะสองหน่วยงานนี้เกี่ยวข้องในหลายคดีที่สังคมจับตาอยู่ “กระทรวงกลาโหม” ก็เป็นกระทรวงแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เรื่องน่าสนใจในรัฐบาลชุดนี้ “การมีรัฐมนตรีคนนอกเป็นแนวทางที่ดี” เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้การเมืองไทยในอนาคต เปิดทางให้นายกฯดึงคนเก่งจากภายนอกมาร่วมทีมไม่จำเป็นต้องเป็น สส.ยึดติดโควตาพรรคประเด็นมีอยู่ว่า “อำนาจเต็มการบริหารรัฐบาล 4 เดือนจะทำอะไรได้บ้าง?” หากย้อนดูนโยบายพรรคภูมิใจไทยช่วงเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 หลายข้อสามารถดำเนินการได้จริงในเวลาอันสั้นแล้วจากการแถลง 4 ภารกิจด่วน “เรื่องเศรษฐกิจ” เป็นหัวใจสำคัญที่สุด โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง และค่าครองชีพเป็นเรื่องต้องทำอันดับแรกแต่มุมมองส่วนตัวสิ่งที่ควรเร่งทำคือ “ลดรายจ่ายก่อน” เพราะการเพิ่มรายได้เป็นเรื่องทำได้ยากแล้วการลดรายจ่ายทำได้ทันทีเห็นผลได้เร็วอย่างการจัดการเรื่องราคาน้ำมัน พลังงาน ไฟฟ้าและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอีกประเด็นคือ “การจ้างงาน” แทนที่รัฐบาลจะใช้งบจ้างเอกชนแบบเดิม outsource ก็ควรเปลี่ยนมาจ้างประชาชนโดยตรงในหลายภารกิจของรัฐ เพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชนโดยตรง แม้แต่งบประมาณแผ่นดินใช้จ้างบริษัทภายนอกก็ควรถูกปรับมาเป็นการจ้างแรงงานจากประชาชน เช่น งานจัดการขยะ ผักตบชวา หรือดูแลผู้สูงอายุต่อมาเรื่องที่สอง...“ปัญหาความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา” เรื่องนี้ถ้ารัฐบาลอนุทินแก้ปัญหาได้ดีจริงๆก็จะได้คะแนนนิยมสูงมาก เพราะปัญหาไทย-กัมพูชาส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชายแดนและกระทบชีวิตคนใน 7 จังหวัด ทั้งยังมีผลต่อผู้ประกอบการไทยส่งสินค้าไปกัมพูชา แม้ในแง่ตัวเลขมูลค่าอาจไม่สูงมากแต่ก็กระทบกับคนไม่น้อย แล้วเรื่องที่ใหญ่กว่ามิติเศรษฐกิจก็คือ “ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา” ที่ถือเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทย ถ้าหากพรรคภูมิใจไทยอันเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในพื้นที่ที่มีบ้านใหญ่คุมพื้นที่อยู่สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชาได้ ก็จะกลายเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในการสร้างคะแนนนิยมในระดับพื้นที่อีกด้วยซ้ำอย่าลืมว่า “จุดที่คุณอนุทินได้เปรียบคุณชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯนั้น” เพราะถูกมองเป็นคนของคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นคู่กรณีกับฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ดังนั้นการแก้ปัญหาจะยากกว่าคุณอนุทินที่ไม่มีประวัติขัดแย้งกับผู้นำกัมพูชาเพียงแต่ต้องระวังเรื่องฮุน เซน เคยขู่จะปล่อยคลิปใหม่ที่เชื่อมโยงนักการเมืองบางคนส่วนข้อสุดท้าย “การปราบปรามยาเสพติด และขบวนการหลอกลวงออนไลน์” หากทำได้จะเกิดประโยชน์กับประชาชนโดยตรง “สองเรื่องนี้เป็นปัญหาส่งผลต่อคนจำนวนมาก” แม้รัฐบาลที่แล้วในช่วงท้ายของการบริหารประเทศจะเริ่มแสดงท่าทีเอาจริง แต่ยังไม่สามารถจัดการได้ เพราะผูกโยงอยู่กับปัญหาความร่วมมือกับกัมพูชายิ่งหากคุณอนุทินมาดูกระทรวงมหาดไทยสามารถจัดการปัญหานี้ได้ก็จะเป็นผลงานเชิงบวกต่อความรู้สึกประชาชนใน 4 เดือน ดังนั้นรัฐบาลใหม่ควรเร่งทำเรื่องที่ทำได้เร็วให้เห็นผลไวจะสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาได้เร็วเช่นกัน เพราะพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ตั้งเป้าแค่เป็นพรรคอันดับ 3 แต่ยังเล็งขึ้นพรรคอันดับ 1 หรือ 2 ในอนาคตอันใกล้นี้ แน่นอนว่าทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับ “ผลงานและความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชน” โดยเฉพาะข้อตกลงทำสัญญาไว้กับพรรคประชาชนอันเป็นตัวแทนประชาชน เมื่อได้ให้คำมั่นแล้วก็ต้องทำให้ได้ตามที่สัญญาไว้ย้ำแม้ ครม.อนุทิน 1 ดูรายชื่อแล้วหน้าตาไม่เปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลชุดก่อนนัก เรื่องนี้ต้องแยกบริบทให้ชัดด้วยตอนนั้นพรรคภูมิใจไทยไม่ใช่แกนนำรัฐบาลต่างจากตอนนี้คุณอนุทินเป็นนายกฯ เต็มตัวจึงมีความคาดหวังว่าการบริหารครั้งนี้จะสร้างผลงานได้ชัดกว่าที่ผ่านมา และไม่ใช่แค่บริหารแต่รวมถึงสร้างความนิยมจากประชาชนด้วยสิ่งนี้เป็นตัวสะท้อนในการเลือกตั้งสมัยหน้า โดยเฉพาะโควตาคนนอก เป็นโอกาสสำคัญในการพิสูจน์ผลงานใน 4 เดือน โดยต้องเน้นทำสิ่งที่ใช้งบน้อย คนไม่มาก เวลาสั้น แต่สร้างผลลัพธ์ชัด สิ่งมีอยู่แล้วก็เริ่มทำได้ทันที ฉะนั้น 4 เดือนข้างหน้า “ไม่ใช่แค่การบริหารประเทศของนายกฯ คนที่ 32” แต่เป็นช่วงวัดใจที่จะตัดสินอนาคตของพรรคภูมิใจไทยที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดสร้างผลงานตอบโจทย์สู่ชัยชนะในการเลือกตั้งสมัยหน้า.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม