วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันพรุ่งนี้ก็จะถึง “วันสุดท้ายของปี 2568” แล้ว ปีแห่งความทุกข์ยากของคนไทยทุกระดับ ปีแห่งความแตกแยกของมหาอำนาจโลก ปีแห่งการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทย ปีแห่งทุนเทาต่างชาติที่ผงาดขึ้นมามีอำนาจเหนือนักการเมืองเทาและเข้าครอบงำอำนาจรัฐไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปีแห่งวิกฤติเศรษฐกิจของคนไทยทุกระดับ ฯลฯ ผมคงไม่ย้อนกลับไปพูดถึงสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่คิดถึง พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในเรื่องการปกครองบ้านเมือง“...การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงไม่ใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดีแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”แต่เมืองไทยวันนี้กลับส่งเสริม “คนไม่ดี” ให้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง เข้าไปก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้บ้านเมือง และ “คนไม่ดี” ยังใช้อำนาจ “ควบคุมคนดี” ไม่ให้มีอำนาจสร้างความปกติสุขและความเจริญรุ่งเรืองแก่ชาติบ้านเมืองได้ พระบรมราโชวาท อีกตอนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในโอกาสพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 31 กรกฎาคม 2513 ว่า “...ถ้าประชาชนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ พอพึ่งทางราชการไม่ได้ก็ต้องหันไปพึ่งผู้กว้างขวาง ผู้มีอิทธิพล จึงเป็นหน้าที่ของราชการ ที่จะปฏิบัติงานเพื่อให้การบริหารของราชการได้เข้าถึงประชาชนโดยทั่วไป และทำด้วยความสุจริต...”เมื่อคนไม่ดีมีเยอะ การทุจริตคอร์รัปชันก็เบ่งบาน เศรษฐกิจไทยสองปีเศษที่ผ่านมาจึงดิ่งเหวโตต่ำสุดใน 6 ชาติชั้นนำอาเซียน จนกลายเป็น “ผู้ป่วยแห่งอาเซียน” ปีหน้า 2569 แบงก์ชาติ สภาพัฒน์ นักวิเคราะห์ทุกสำนัก ต่างก็วิเคราะห์ออกมาตรงกัน จีดีพีปี 2569 จะโตได้แค่ 1.5% ต่ำกว่า 2568 ที่โตต่ำ 2% ซึ่งจะให้เศรษฐกิจทุกครัวเรือนลำบากกว่าปีนี้อีกแม้ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราสามารถแก้ไขสิ่งผิดพลาดในอนาคตได้ ด้วยการส่งเสริมคนดีมีความรู้เข้าไปมีอำนาจปกครองบ้านเมือง แม้จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดิม แต่ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีที่เป็นคนดีมีความรู้ จะทำในสิ่งที่ดีต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนมากกว่าสิ่งเลวร้าย และสำคัญที่สุดคือ ไม่คิดโกงกินไม่คิดคอร์รัปชันตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ วันนี้คนไทยก็ได้เห็นตัวอย่างมาแล้ว “รัฐมนตรีคนนอก” ที่เป็น “คนดีคนเก่งไม่โกงกิน” เพียงไม่กี่คนในรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก็สามารถทำงานให้ประชาชนเห็นและชื่นชมกันมากมายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ทำให้ประชาชนอยากได้ “รัฐบาลใหม่” ที่มี “รัฐมนตรีคนนอก” ที่เก่งแบบนี้อีกทุกพรรคลี กวนยู อดีตนายกฯสิงคโปร์ เคยพูดเอาไว้ว่า ต่อให้ระบบและกฎหมายมันไม่ดี แต่ถ้าได้ “คนดีมีความรู้” เข้าไปมีอำนาจก็สามารถทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นได้ นี่คือความจริงการเลือกตั้ง 8 ก.พ.2569 จึงถือเป็น “โอกาสทอง” อีกครั้งของคนไทย 53 ล้านคนที่จะได้เลือก “คนดี” เข้าไปเป็น สส. เป็นรัฐมนตรีปกครองบ้านเมือง สองปีกว่าที่ผ่านมาคนไทยน่าจะเข็ดและบอบชํ้ากันมามากพอแล้ว การเลือกพรรคที่มีแต่นโยบายประชานิยมแจกเงินเอาเงินหลวงเงินภาษีของชาติมาแจก สุดท้ายภาระหนี้สินก็ตกเป็นภาระของคนไทยทุกคนที่ต้องจ่าย แต่นักการเมืองได้อำนาจ แล้วไปทุจริตคอร์รัปชันกันต่อ และต่อยอดให้ “เงินเทา” เข้ามาซื้อที่ดินซื้อกิจการซื้ออำนาจรัฐกันมากมาย“สวนดุสิตโพล” ได้สำรวจ “ดัชนีการเมืองไทยเดือนธันวาคม 2568” อยู่ที่ 3.87 คะแนน ลดลงจากเดือน พ.ย.ที่ 3.90 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนตํ่าสุดคือการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ 78.38% บอกว่าจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็ถือเป็นข่าวดีบุคคลที่อยากให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” คนต่อไป อันดับ 1 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ พรรคประชาชน 26.55% แม้จะเลือกอันดับ 1 แต่คะแนนนิยมยังถือว่าน้อย อันดับ 2 อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย 18.22% อันดับ 3 ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ พรรคเพื่อไทย 17.29% อันดับ 4 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ 10.13% ไม่ว่าโพลไหนก็วนเวียนอยู่ใน 3–4 พรรคนี้ โอกาสที่จะ “ปฏิรูปประเทศไทย” ดูริบหรี่ลงไปทุกที.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม