ในช่วงสถานการณ์สู้รบระหว่างไทย-เขมร “ทหารแนวหน้า” ยังต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างหนัก นอนกลางดิน กินกลางทราย และห่างไกลครอบครัวเป็นเวลานาน เพื่อปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศการเสียสละเหล่านี้ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า “อธิปไตยของชาติไทยยังอยู่ในมือของผู้ที่เสียสละอย่างเต็มกำลัง” อันจะทำให้คนไทยสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างสงบสุข และปลอดภัยซึ่งความทุ่มเทนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการสนับสนุนจัดเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งของจำเป็น เพื่อตอบแทนความเสียสละของทหารอย่าง “ร้านเจ๊ติ๋มยิ้มหวานข้าวขาหมู” ภายในปั๊ม ปตท. แยกบ้านจาน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งขึ้นป้ายเปิดให้ทหารรับประทานอาหารฟรีตลอดทั้งวันก็มีทหารแวะเวียนมารับประทานกันต่อเนื่อง กลายเป็นภาพความอบอุ่นที่สร้างรอยยิ้ม และกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ “ณิชาภัศ สมพงษ์ อายุ 54 ปี” เจ้าของร้าน บอกว่า แม้จุดปะทะจะอยู่ห่างจากตัวอำเภอกันทรลักษ์ 20 กว่า กม. แต่ก็ได้ยินเสียงปืนดังทุกวันจนชาวบ้านต้องอพยพไปอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวโชคดีว่าบ้านพักของตนเองตั้งอยู่บนถนนหมายเลข 24 “นอกเขตพื้นที่จุดเสี่ยงสีแดง” จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง และค่อนข้างมีความปลอดภัย ทำให้ชาวบ้านบางส่วนต่างอพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ และออกมาหาซื้ออาหารกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากร้านค้าหลายแห่งในตัวเมืองกันทรลักษ์ปิดให้บริการเกือบทั้งหมดเมื่อเป็นเช่นนี้เลยอยากช่วยเหลือให้กำลังใจ “ทหารแนวหน้า” ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติในพื้นที่ชายแดนไทย-เขมร หากเห็นทหารแวะเข้ามาพักในปั๊มก็มักจะเลี้ยงข้าวเพื่อเป็นการตอบแทนเสมอจริงๆแล้ว “ตัวเองมีอาชีพขายข้าวขาหมูอยู่แยกบ้านจาน” แต่ชื่นชอบการทำบุญช่วยเหลือสังคมร่วมกับเพื่อนในกลุ่มแก๊งนางฟ้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานการกุศล งานทำบุญในโอกาสต่างๆก็จะรวมกลุ่มกันลงแรงเปิดโรงทานเลี้ยงอาหารให้กับชาวบ้าน เพราะถือเป็นการช่วยเหลือแบ่งปันให้สังคมอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดแต่เมื่อช่วงต้นปี “เกิดสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย–เขมร” จนส่งผลให้การค้าขายไม่สามารถทำได้ตามปกติ จึงปรับบทบาทจากการประกอบอาชีพค้าขายหันมาจัดเตรียมอาหาร เพื่อแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัย เจ้าหน้าที่ และกำลังพลแนวหน้าตามแต่ละพื้นที่ที่มีการร้องขอภายใต้กำลังและทรัพยากรที่มีอยู่เพราะผู้อพยพต่างหนีเอาชีวิตรอดมา “บางคนแทบไม่ได้กินข้าว” ขณะที่เราอยู่ห่างไกลจากจุดสู้รบพอสมควร “สิ่งใดสามารถช่วยเหลือได้ก็พยายามช่วยอย่างเต็มที่” ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือน้ำดื่ม โดยพวกเราร่วมแรงร่วมใจกันคนละเล็กคนละน้อย เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากนั้นทว่าการทำงานตรงนี้ “อาศัยแรงสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธา” ต่างช่วยบริจาคเงินกันคนละ 100-200 บาท และนำมาบริหารจัดการประกอบอาหารหมุนเวียนเมนูไม่ให้ซ้ำกัน เช่น บางวันมีผู้บริจาคข้าวเหนียวก็จะนำมาทำข้าวจี่ ข้าวต้มมัด หรือข้าวเหนียวสังขยาเพื่อให้ผู้ประสบภัยมีอาหารประทังชีวิตในช่วงเวลายากลำบากไปก่อนแล้วการช่วยเหลือนี้แม้จะลำบากบ้าง “แต่พอเห็นผู้ประสบภัยที่เดือดร้อนกว่า” ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือช่วยเหลือเท่าที่กำลังเราจะทำได้จนเวลาผ่านไปกว่า 1 เดือน “ชาวบ้านได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน” แต่เราก็ยังสลับกันมาจัดทำอาหารส่งให้ทหารแนวหน้าในพื้นที่เขาพระวิหาร และจุดต่างๆ ส่งผ่านทางด่านขึ้นผามออีแดงแม้ช่วงสถานการณ์สงบ “ยังรวมตัวกันจัดหาสิ่งของจำเป็นไปมอบให้ทหารแนวหน้า” เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้ายในฤดูฝนจนความเป็นอยู่ในพื้นที่ชายแดนยากลำบากด้วย“ในช่วงเวลานั้นพวกเราทุกคนแทบไม่ได้คิดถึงความลำบากของตัวเองเลย คิดเพียงอย่างเดียวอยากช่วยพี่น้องที่กำลังเดือดร้อน เพราะเขาเดือดร้อนหนักกว่าพวกเรามาก และหลายคนต้องทิ้งบ้านทิ้งทรัพย์สินแล้วมาอยู่รวมกัน มีทั้งเด็ก คนป่วย และผู้สูงอายุ ซึ่งเห็นภาพแล้วก็รู้สึกสงสารอย่างมาก” ณิชาภัศกล่าวด้วยน้ำตากระทั่งในวันที่ 7 ธ.ค.2568 “เกิดเหตุปะทะขึ้นระหว่างไทย–เขมรอีกครั้ง” แต่คราวนี้ไม่มีเวลาพอที่จะกลับไปทำการช่วยเหลือรูปแบบเดิมได้ “ก็เลยตั้งป้ายหน้าร้านให้ทหารกินฟรีหากผ่านมาบริเวณนี้” ทั้งยังโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กชวนให้ทหารมารับประทานได้ โดยไม่ต้องเกรงใจ เพราะเป็นการรวมพลังศรัทธาจากหลายคนร่วมกันสำหรับทหารที่แวะเวียนมา “ส่วนใหญ่จะเป็นกำลังพลที่ขนส่งเสบียง และอาวุธเข้ามาพื้นที่” ซึ่งบางคนแวะเข้ามาพักดื่มกาแฟหรือทานอาหารในปั๊มน้ำมัน ปตท.ก็จะเรียกเข้ามากินข้าวฟรี โดยวันก่อนก็มีรถบัสทหารเข้ามากินข้าวเกือบ 50 นาย “เราก็ตั้งใจช่วยทหารแนวหน้า” ไม่ว่าช่วยมากหรือน้อยขอเพียงได้มีส่วนร่วมก็พอใจแล้วด้วยขณะที่คนไทยนอนหลับสบาย “แต่ทหารแนวหน้ากลับทำงานแทบไม่ได้พัก” เพราะห่วงใยความปลอดภัยของประชาชน “การจัดอาหารเล็กๆให้ทาน” จึงเป็นการตอบแทนให้ทหารมีกำลังใจทำหน้าที่ต่อไป“ตอนนี้ส่วนตัวมองเห็นความลำบากทหารมากกว่าตัวเองเลยตั้งใจทำสิ่งเล็กน้อยตอบแทนผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ แม้จะไม่ใช่คนร่ำรวยก็อยากช่วยเหลือให้ทหารทุกนายได้อิ่มท้องมีกำลังใจ โดยมีลูกหลานที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯคอยสนับสนุนโอนเงินมาให้ใช้จัดซื้อวัตถุดิบ และสิ่งของสำหรับทำอาหารแจกจ่าย” ณิชาภัศว่าแน่นอนว่า “การทำงานเพื่อสังคมย่อมต้องควักเงินส่วนตัว” โดยนำเงินเก็บที่มีอยู่ก้อนหนึ่งตั้งใจจะเก็บไว้ซื้อของขาย “เมื่อเห็นการสู้รบก็ไม่ลังเลนำเงินไปช่วยเหลือผู้เดือดร้อนและทหาร” เพราะคิดว่ายังมีหลายคนที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะ “ส่วนเงินที่มีตายไปก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี” จึงอยากใช้โอกาสนี้ทำความดีช่วยเหลือพี่น้องคนอื่นในส่วนสิ่งที่ได้รับกลับมาคือ “ความสุข และความตื้นตันใจ” เมื่อเห็นน้องทหารได้อิ่มท้องก็รู้สึกอิ่มใจไปด้วย แม้จะช่วยเพียงเล็กน้อยก็ภูมิใจที่ได้เป็นกำลังใจให้ทหารแนวหน้าที่ต้องเหน็ดเหนื่อย รวมถึงต้องออกห่างไกลครอบครัว จึงยังเดินหน้าช่วยเหลือทหารหาญต่อไปเรื่อยๆเพราะไม่อยากรอให้ร่ำรวยก่อนแล้วค่อยช่วยเหลือสังคมฉะนั้นเน้นย้ำว่า “ความสุขของคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินแต่อยู่ที่ใจที่ได้แบ่งปัน” โดยเฉพาะในยามศึกสงครามแบบนี้การช่วยเหลือทหารแนวหน้าที่เสียสละปกป้องประเทศ “ย่อมถือเป็นการตอบแทนเพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้เสียสละ” แม้ว่าจะช่วยได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็สร้างความสุขต่อใจแก่ผู้ให้ และผู้รับด้วยเช่นกันสุดท้ายฝากความห่วงใยถึงทหาร และผู้ได้รับผลกระทบในการสู้รบครั้งนี้ และขอให้สังคมร่วมกันให้กำลังใจ ไม่ทอดทิ้งกัน และหวังว่าความรุนแรงจะยุติลงไม่อยากให้เกิดสงครามในรุ่นลูกหลานอีก.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม