แรงมาแรงไป “ตอบโต้อย่างได้สัดส่วน”ทั้งนักวิชาการด้านการทหาร การต่างประเทศ อดีตมืออาชีพสายงานความมั่นคง นักการเมืองที่ตามสถานการณ์ ไปจนถึงสากลโลกเห็นตรงกันการเปิดฉากสู้รบของประเทศไทย โดยกองทัพไทย เมื่อเช้าวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ต่อประเทศกองกำลังทหารกัมพูชา บริเวณพรมแดนประเทศ ด้านอีสานใต้ของประเทศไทย 4 จังหวัด อุบลฯ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์รุกรบสมเหตุสมผล ในไฟต์บังคับจัดหนักขะแมร์ ตบ “ยุงรำคาญ”รอบนี้ทั่วโลกรับรู้เกมป่วน แฮชแท็ก “เขมรยิงก่อน” เป็นที่ประจักษ์ นั่นไม่เท่ากับพฤติกรรมเหี้ยมโหด เล่นนอกกติกา บอมบ์ไม่เลือกเป้าหมาย บ้านเรือน ชุมชน โรงพยาบาล ร้านค้าฝั่งไทย ฉะนั้นแค่เจอเอฟ-16 ไทย หย่อนไข่ บอมบ์ตอบโต้ฐานที่มั่นทางทหาร ยังจัดน้อยเกินไปด้วยซ้ำกับคิวกำราบให้เข็ดขี้และหลาบจำแล้วเป้าหมายก็ไม่ใช่การได้คืบเอาศอกเหมือนทางฝั่งกัมพูชา เวลานี้ผู้นำกองทัพแม่ทัพภาคที่ 2 บอกเป้าหมายชัด ดีเดย์ “สู้รบ” ขอยึดคืนพื้นที่เป้าหมาย ปราสาท และผืนแผ่นดินไทยให้สำเร็จก็ปิดเกม จบสงครามย่อยรอบนี้ภาคกองทัพ การประกอบกำลัง 3 เหล่าทัพ บวก สตช.เข้มแข็ง คนไทยอุ่นใจแต่ที่น่าเป็นห่วง คือภาคการเมือง คนไทยยังไม่ชัวร์กับรัฐบาล ทั้งในมิติการเจรจาการทูต การเมืองระหว่างประเทศ จะเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมเขมรหรือไม่ถึงแม้จะเห็นการปรับตัวของ “รมต.ปู” มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ผู้นิ่งเงียบ ไปโผล่กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ปลดบ่วงแบล็กลิสต์ประเทศมหาอำนาจห้ามเข้าเมืองได้แล้ว เปิดเกมรุกหาช่องเข้าพบหารือเลขาธิการยูเอ็น พบปะประธาน UNSC องค์กรโลกบาลหน่วยย่อยในสหประชาชาติ ชี้แจงสถานการณ์ฟ้องโลก ต่อกรเล่ห์การทูตกัมพูชาแต่ “รมต.ปู” ยังมีภารกิจหนัก ทางหนึ่งต้องดีลล็อบบี้บิ๊กๆประเทศ ดึงแนวร่วมเสียงโหวตในยูเอ็นอีกด้านก็ยังต้อง “ระวังหลัง” ในห้วงบิ๊กเบิ้ม ประเทศสหรัฐฯ–จีน จดจ้องดูสถานการณ์ จ่อเสียบชิงดุลภูมิรัฐศาสตร์ในอาเซียน ผูกเงื่อนปมแลกเปลี่ยนความมั่นคง โยงภาษีการค้า เศรษฐกิจ และคิว “ยึดครอง”ไทยต้องเลี่ยงภาวะ “ลูกไล่” เป็น “เหยื่อ” พญาอินทรี-พญามังกรเช่นเดียวกันกับโจทย์ที่แก้ไม่ตก การสื่อสารของรัฐบาลเทียบกับทางฝั่งกองทัพไม่ติดในสงครามไฮบริดลูกผสม สงครามไซเบอร์เป็นสิ่งจำเป็น ทั้งการชี้แจงให้ข่าว ข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักปฏิบัติในห้วงวิกฤติสำหรับประชาชน ผ่านเว็บ เพจ โซเชียลฯ หรือตอบโต้ทางโลกออนไลน์แต่ละเหล่าทัพมีทีม “ไอโอสร้างสรรค์” จัดครบทุกทางแตกต่างกับรัฐบาล เอาแค่ “รองอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย รักษาการนายกฯ กว่าจะตั้งหลักสัมภาษณ์เข้าฟอร์ม ก็ออกแนวถนัด พูดหรูดูดี โลกสวย รักสันติ หลุดสถานการณ์อยู่นานไม่สนองตอบข้อเท็จจริง เท่าทันอารมณ์ผู้คนในประเทศหนำซ้ำ ทีมงาน เครือข่าย รัฐมนตรี โฆษกรัฐบาล ไปจนกระทั่งพรรคเพื่อไทย บิ๊กเนมผู้มีอำนาจ ทั้งนายกฯ อดีตนายกฯตระกูลชินฯยึกๆยักๆ เดี๋ยวยึดแนวทางเจรจา ยี้สงคราม เดี๋ยวพร้อมแบ็กอัปกองทัพสู้รบรักษาอธิปไตยอีกส่วนหนึ่งเพราะทำยังไงสังคมก็ไม่อินด้วย ด้วยเพราะ “คลิปลุง–หลาน” ฝังจำพูดอะไรก็เข้าเนื้อ ถูกย้อนถึง “สารตั้งต้น” เหตุปมขัดแย้งไม่เท่านั้น ที่ดึงมืออาชีพ “จักรภพ เพ็ญแข” มาเป็นที่ปรึกษาเลขาธิการนายกฯด้าน “การสื่อสาร” แทนที่จะเป็นกระบอกเสียงหลัก ชี้แจงข้อมูลข่าวสาร กุมสภาพ “อำนาจนำ” ในสถานการณ์ให้เหนือภาพกองทัพกลายเป็นโพล่งคำพูดคำจาเผ็ดร้อน พร้อมชนกับความเห็นต่าง ขึ้นบิดามารดาตอบโต้สื่อออกจอภาพรวมการสื่อสารของรัฐบาล พรรคเพื่อไทย นายใหญ่ตระกูลชินฯจึงเป๋ไปมา ดูอิหลักอิเหลื่อในห้วงยังไม่พ้นวิกฤติกระทบ “ผู้นำ” อยู่ในภาวะเสี่ยงแต่สถานการณ์อำนาจรัฐบาล ส่อ “กู่ไม่กลับ” กันแล้ว.ทีมข่าวการเมือง รายงานคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม