ยาเสพติดเป็นปัญหาระดับโลกส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ “กลุ่มเยาวชนยังคงตกเป็นทาสยานรก” เริ่มต้นจากการ ทดลองเพียงเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆถูกชักจูงถลำลึกจนกลายเป็นผู้เสพติดในที่สุดสำหรับประเทศไทยมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 1.9 ล้านคนอาจดูเป็นสัดส่วนไม่สูง แต่แนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน และวัยทำงาน มีความเสี่ยงได้ทั้งทางตรง และทางอ้อมคืบคลานเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นการสร้างความตระหนักรู้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นสิ่งจำเป็นในการลดผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด “TIJ และสำนักกิจการยุติธรรม” ได้จัดประชุมทางวิชาการระดับชาติครั้งที่ 22 ภายใต้แนวคิดยุติธรรมกินได้โดย อารีภักดิ์ เงินบำรุง รองเลขาธิการ ป.ป.ส. สะท้อนบนเวทีเสวนาหัวข้อ SafeCity, Safe Life : สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน ว่าทั่วโลกมีผู้ใช้ยาเสพติด 200-300 ล้านคน หรือคิดเป็น 3-4% จากประชากร 8 พันล้านคน แม้ตัวเลขผู้ใช้ยาดูไม่สูงแต่ผลกระทบรุนแรงในหลายประเทศ “ผู้เสพ” มักไม่ได้รับการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพรุนแรง การเสียชีวิตก็เพิ่มขึ้น เพราะผู้ใช้ไม่เข้าใจความพอดีของการใช้ยาคล้ายคนติดกาแฟ แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกอยากทันทีลักษณะอาการเสพติดทางร่างกายและจิตใจ เมื่อใช้ยาไประดับหนึ่งมักต้องการเพิ่มโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้เกินขนาดถึงขั้นโอเวอร์โดส แล้วแนวโน้มการใช้ยาทั่วโลกก็เปลี่ยนไป เดิมผู้ใช้มักภักดียึดติดกับยาตัวใดตัวหนึ่ง แต่เทรนด์เปลี่ยนไป ใช้ยาผสมผสานเรียกว่าโพลีดรัค (Polydrug Use) ไม่ยึดติดขอแค่ได้เสพเมาด้วยวิธีใดหรือสารชนิดใดก็ได้ดังนั้นการใช้สารเสพติดหลายชนิดผสมกันส่งผลรุนแรงต่อร่างกาย เพราะสารบางชนิดกดประสาท บางชนิดกระตุ้นหรือบางชนิดหลอนประสาทจนร่างกายรับพร้อมกันไม่ไหว ทำให้อาการใช้รุนแรงเป็นเทรนด์เกิดทั่วโลกยิ่งกว่านั้นในช่วง 10 ปีมานี้ “ผู้ใช้ยาเสพติดเพิ่มขึ้นแทบทุกประเทศ” เพราะเข้าถึงง่ายผ่านทางออนไลน์ เช่น ดาร์กเว็บ เพียงผู้ซื้อสั่งยาผ่านล็อกอิน เลือกสินค้า โอนเงิน และรอรับของ การซื้อขายสะดวกรวดเร็ว แล้วในปี 2024 องค์การสหประชาชาติก็ได้ติดตามวิเคราะห์สถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดทั่วโลกอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการขยายตัวของตลาดยาเสพติดที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลกคือ “กัญชา 228 ล้านคน” จนไทยถูกกดดันจากต่างชาติอย่าง “อังกฤษ” เริ่มมีปัญหาลักลอบขนกัญชาจากไทยกลับไปประเทศ ล่าสุดมีวัยรุ่นอังกฤษถูกหลอกให้เดินทางมาไทย เสนอค่าเดินทาง และที่พักฟรี แลกกับการช่วยถือกระเป๋าลักลอบกัญชากลับไปประเทศกรณีนี้สถานทูตต่างประเทศประสานมายัง ป.ป.ส.ขอให้ดูแล ป้องกัน สกัดกั้นไม่ให้เกิดเหตุนี้ซ้ำอีก เพราะแม้กัญชาถูกปลดจากบัญชียาเสพติดในไทยแต่การนำออกนอกประเทศยังเข้าข่ายผิดกฎหมายหลายฉบับ ย้อนมาดู “ปัญหายาเสพติดในไทย” เป็นปัญหาเฉพาะแตกต่างจากประเทศอื่น เพราะอย่างสหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาเฟนทานิล (Fentanyl) และจีนก็เจอกับการใช้เมทแอมเฟตามีนเช่นเดียวกับไทยที่ใช้คำเฉพาะ “ยาบ้า” เพียงแต่ยาบ้าในไทยในหนึ่งเม็ดมีส่วนประกอบเมทแอมเฟตามีนเพียง 18-21% ส่วนที่เหลืออีก 80% เป็นตัวคาเฟอีนซึ่งเป็นสารกระตุ้นชนิดเดียวกับในกาแฟ “แม้เมทแอมเฟตามีนในยาบ้า 1 เม็ดจะมีไม่สูง” แต่เมื่อผสมกับคาเฟอีนสารกระตุ้นเช่นเดียวกันทางการแพทย์ระบุว่าสาร 2 ชนิดเสริมฤทธิ์กันส่งผลให้ผู้ใช้บางรายเกิดอาการหลอนคลุ้มคลั่ง ทำให้ยาบ้าในไทยต่างจากการใช้เมทแอมเฟตามีนในประเทศอื่นลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใครในโลก“เวลาพูดคุยกับตัวแทนประเทศต่างๆ มักประหลาดใจไม่เคยเห็นแอมเฟตามีนที่ไหนทำให้คนคลุ้มคลั่งได้ แต่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3 ประเทศ เช่น ไทย เมียนมา และลาว ที่ล้วนมีปัญหายาบ้าหนัก” อารีภักดิ์ ว่าความจริงแล้ว คาเฟอีน แม้ไม่ผิดกฎหมายเนื่องจากใช้ได้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแต่ในทางปฏิบัติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงจับตาเส้นทางการลำเลียงสารเหล่านี้อย่างใกล้ชิด ถ้าหากพบว่าคาเฟอีนถูกส่งผ่านเส้นทางผิดปกติ หรือส่งผ่านเส้นทางที่ไม่ได้มีโรงงานผลิตกาแฟ สามารถอนุมานได้ว่าอาจถูกนำไปใช้ในการผลิตยาเสพติดได้ซึ่งสถานการณ์ “ยาบ้าในไทย” ปัจจุบันมีผู้เริ่มใช้ราว 1.57 ล้านคน แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1.ผู้ทดลองใช้ มักเป็นวัยรุ่นที่อยากรู้อยากลองใช้ไม่กี่ครั้งก็หยุดได้เอง 2.ผู้เสพ เริ่มใช้ต่อเนื่องแต่ยังไม่ถึงขั้นเสพติด และ 3.ผู้ติดยา เสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่สามารถหยุดได้เองต้องเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างจริงจัง“สำหรับราคายาบ้าถูกลงมีปัจจัยจากปริมาณสารออกฤทธิ์ลดลงอย่างแอมเฟตามีนหนึ่งเม็ดมีเพียง 20% และ 80% เป็นคาเฟอีน ทั้งยังขึ้นอยู่กับแหล่งผลิต เช่น กลุ่มโกกั้ง ว้า ม้ง ก็มีวิธีการผลิตแตกต่างกัน และสารตั้งต้นผลิตก็หาง่ายเข้าถึงวัตถุดิบมากขึ้นต้นทุนลดลงรวมถึงการผลิตจำนวนมากความต้องการในตลาดยิ่งสูง” อารีภักดิ์ ว่าย้ำต่อว่า “ยาบ้าไม่ได้ผลิตในไทยลักลอบนำเข้าจากแหล่งผลิตในเมียนมา” แม้รู้ที่มาชัดเจนแต่การจัดการไม่ง่าย เพราะแหล่งผลิตไม่ใช่โรงงานถาวร มักเป็นเต็นท์เคลื่อนที่ย้ายได้ตลอดเวลายากต่อการปราบปราม ส่วนกระบวนการผลิตก็สกปรกไม่มีการควบคุม ทำให้คนใช้ยาบ้าก็นำเอาความสกปรกอันตรายเข้าสู่ร่างกายปัจจัยสำคัญคือ “เมียนมาเผชิญกับการสู้รบในประเทศ” ส่งผลต่อการลักลอบยาเสพติดข้ามพรมแดนมากขึ้น เพราะกลุ่มติดอาวุธต้องการรายได้ในการจัดหาอาวุธ “การผลิตยาเสพติด” จึงเป็นอาชญากรรมที่สร้างรายได้มหาศาล เมื่อพิจารณาแผนที่ภูมิศาสตร์ประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งถูกใช้เป็นทางผ่านลำเลียงไปประเทศที่ 3แม้จะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ตรวจจับตามท่าเรือ สนามบิน และจุดผ่านแดนอย่างเข้มงวด แต่ด้วยเส้นทางซับซ้อนการสกัดกั้นยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และบูรณาการทุกภาคส่วนร่วมกันสำหรับเส้นทางลักลอบยาบ้าส่วนใหญ่เข้ามาทางชายแดนผ่าน สปป.ลาวเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง “การลักลอบยาไอซ์” ก็มีแนวโน้มขยายตัวจากความต้องการของตลาดแถบยุโรป และญี่ปุ่นที่ใช้ยาไอซ์มากว่า 20-30 ปีการสกัดกั้นการลักลอบยาเสพติด ป.ป.ส.ร่วมมือกับหน่วยงานในภูมิภาคกลุ่มแม่น้ำโขง คือ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย จีน และอินเดีย และเฝ้าระวังตรวจตราแนวชายแดนทำงานร่วมกับกองทัพ และตำรวจไทยผ่านมาตรการที่เรียกว่า “Stop–Safe” ไม่ให้หลุดรอดเข้าพื้นที่ตอนในสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนนี่คือแนวโน้มปัญหายาเสพติด “ในไทยยังคงรุนแรงต่อเนื่องไม่มีพื้นที่ใดที่ปลอดจากปัญหานี้” ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยมุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ปลอดภัย เพื่อปกป้องประชาชน และลดผลกระทบจากยาเสพติดในสังคมคลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม