ในปี 2568 “ประเทศไทย” ยังคง เผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของสงครามในภูมิภาคต่างๆราคาน้ำมันที่ยังคงสูง และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลโดยตรง คำถามสำคัญมีว่า “เกษตรกรไทย” จะปรับตัวยังไง? ปี 2568 ภาคเกษตรไทยกำลังเดินหน้าไปทางใด จะมีโอกาสท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน?พลิกแฟ้มข้อมูลในช่วงต้นปี 2568 ผลผลิตการเกษตรหลายชนิดปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา โดยเฉพาะกลุ่มพืชเศรษฐกิจส่งออกเริ่มมีออเดอร์จากต่างประเทศกลับมา แต่ราคายังมีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ยังคงอยู่ เช่น ต้นทุนการผลิตสูง ค่าปุ๋ย ค่าแรง ค่าน้ำมันความเสียหายจากภัยแล้ง...น้ำท่วม ผนวกกับภาวะหนี้สินครัวเรือนเกษตรกรที่สูงถึงกว่า 80% ของรายได้ โอกาสและความหวังพุ่งเป้าไปที่ “เกษตรแปรรูปและเกษตรอินทรีย์มาแรง” กระแสรักสุขภาพและความต้องการสินค้าที่ยั่งยืนทั่วโลก ผลักดันให้ “สินค้าเกษตรอินทรีย์...เกษตรปลอดภัย” ได้รับความนิยมสูงขึ้น...เกษตรกรที่ปรับตัวได้ จะมีโอกาสเข้าถึงตลาดพรีเมียมทั้งในและต่างประเทศถัดมา...เทคโนโลยีเกษตร (Agri–Tech) กลายเป็นตัวแปรหลัก“การใช้โดรน พลังงานแสงอาทิตย์ เซ็นเซอร์ตรวจวัดดิน และระบบน้ำอัจฉริยะจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และบริหารจัดการความเสี่ยงจากสภาพอากาศโดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่และกลุ่มสหกรณ์”เหลียวมามอง...ภาคการส่งออกยังต้องลุ้น แม้จะมีการเปิดเสรีทางการค้าเพิ่มขึ้นในบางประเทศแต่ปัจจัยเสี่ยง เช่น มาตรการกีดกันทางการค้า และความเข้มงวดของมาตรฐานความปลอดภัยอาหารจะเป็นอุปสรรคที่เกษตรกรรายย่อยต้องการการสนับสนุนจากรัฐสุดท้ายก็อย่าลืม...การรวมกลุ่มแบบ “สมาร์ทฟาร์ม... วิสาหกิจชุมชน” ปี 2568 “รัฐบาล” มุ่งส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรให้เป็นเครือข่ายแบบ “สมาร์ทฟาร์ม” เพื่อให้เกิดการเข้าถึงตลาด โดยตรง ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง เพิ่มอำนาจต่อรองในห่วงโซ่การผลิตและการตลาดโอกาสใหม่ความหวัง “เกษตรกรไทย” ก็คือ “เกษตรยั่งยืน สู่เศรษฐกิจ BCG” แนวทาง BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นนโยบายหลักของประเทศ...นโยบายเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่เรานำมาใช้เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยึดหลัก “ความยั่งยืน (Sustainability)” เป็นแกนกลาง“B”... “Bio Economy”...เศรษฐกิจชีวภาพ คือการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การพัฒนาอาหาร ฟาร์มอินทรีย์, การใช้จุลินทรีย์ พืชสมุนไพร เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อสร้างสินค้า...นวัตกรรม, การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น พืชพลังงาน หรือวัสดุชีวภาพ“C”... “Circular Economy”...เศรษฐกิจหมุนเวียน คือการนำทรัพยากรที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่อย่างคุ้มค่า ลดของเสีย... ลดการใช้ทรัพยากรใหม่, ส่งเสริมการรีไซเคิล, ลดขยะในกระบวนการผลิต, การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้, ใช้เศษวัสดุเกษตรหรืออุตสาหกรรมเป็นวัตถุดิบใหม่“G”...“Green Economy”...เศรษฐกิจสีเขียว คือการพัฒนาเศรษฐกิจโดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้พลังงานสะอาด, ลดการปล่อยคาร์บอน, ใช้ทรัพยากรน้ำ ดิน อย่างอนุรักษ์, ส่งเสริมธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Green Business) แนวทางนี้สะท้อนภาพง่ายๆให้เชื่อมโยงกับเกษตร อย่างเช่น การใช้เศษวัสดุทางการเกษตรไปผลิตปุ๋ยชีวภาพ, การรีไซเคิลน้ำใช้การเกษตร, การพัฒนาเมล็ดพันธุ์พื้นถิ่นแบบไม่พึ่งสารเคมี...ถือเป็นทิศทางสำคัญที่จะเพิ่มทั้ง “มูลค่า” และ “ความยั่งยืน” ให้ภาคเกษตรไทยในระยะยาวท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางชะลอตัวมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้นและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่อาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์วางแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรทั้งในระยะเร่งด่วน รวมทั้งการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรในระยะต่อเนื่อง ฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาฯ สศก. บอกว่าสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตร (พิกัดศุลกากร 01-24 รวมยางธรรมชาติ) ของไทยในตลาดโลก พบว่า ไทยมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังสามารถรักษาตลาดส่งออกได้สะท้อนจากมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรของไทยกับโลก ปี 2567 ที่ผ่านมา จำนวน 2,528,839 ล้านบาท กาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการ สศก. เสริมว่า เรายัง ได้ติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างไทยกับคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ จีน สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น พบว่า การส่งออกสินค้าเกษตรยังคงมีแนวโน้มเป็นบวกอย่างไรก็ตาม...เราต้องรักษาและพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าในระดับสากล เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐอเมริกา ควบคุมการนำเข้าให้เป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพื่อป้องกันการลักลอบการนำเข้าสินค้า รวมถึงปรับกลยุทธ์ทางการค้า...การส่งออก และหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆปี 2568 เป็น...“ปีเปลี่ยนผ่าน” หากสามารถประยุกต์เทคโนโลยี ลดต้นทุน เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น จะเป็นโอกาสทองที่จะเปลี่ยนจาก “ผู้แบกรับ” เป็น “เจ้าของระบบผลิต”...เกษตรกรยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ “ผู้ปลูก” แต่คือ “นักบริหาร...ผู้แปรรูป...ผู้เชื่อมตลาด” ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจไทย.