เมื่อโลกเดือดร้อนขึ้น “อุณหภูมิพุ่งสูงเฉลี่ย 1.5 องศาฯ” เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรมกลายเป็นปัจจัยส่งผลกระทบประเทศไทยโดยเฉพาะปี 2568 ต้องเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้วต่อเนื่องสร้างความซับซ้อนต่อ “สภาพอากาศไทย” เห็นได้ชัดตั้งแต่ต้นปีมีฝนตกลงมาเร็วกว่าปกติจาก “สภาวะลานีญา” แม้จะสร้างโอกาสกักเก็บน้ำแต่ก็เสี่ยงน้ำท่วมเฉพาะจุด “แถมก่อเกิดปรากฏการณ์อากาศเย็นวูบแทรกกลางฤดูร้อน” สะท้อนความผันผวนอากาศมีแนวโน้มเกิดความถี่รุนแรง เป็นอีกปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังในอนาคตแต่ความท้าทายสำคัญคือ “ปีนี้ฝนทิ้งช่วงกลางปีเปลี่ยนผ่านสู่เอลนีโญ” ทำให้ปริมาณฝนท้ายปีจะลดน้อยลง “หากวางแผนจัดสรรน้ำไม่ดี และภาคเกษตรไม่ปรับตัว” ก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความมั่นคงทางน้ำยาวไปถึงในปี 2569 รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต บอกว่าโลกกำลังเผชิญกับสภาพอากาศร้อนมากขึ้นเรื่อยๆตามข้อมูล IPCC ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาฯ กระทบต่อประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2567 “ต้องเผชิญสภาวะเอลนีโญกำลังแรง” ทำให้อากาศร้อนจัดมาตั้งแต่เดือน ม.ค. และร้อนที่สุดในเดือน เม.ย. “อุณหภูมิค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ 43.6 องศาฯ” ทำลายสถิติในรอบ 125 ปีก่อนมาเข้าสู่ “สภาวะลานีญาในปลายปี 2567” ทำให้ต้นปี 2568 ฝนตกเร็วกว่าทุกปีตั้งแต่เดือน ม.ค. แม้ฝนจะตกเร็ว แต่อุณหภูมิพื้นดินยังสูง “บางคนรู้สึกร้อนต้องอยู่ห้องแอร์ตลอด” ส่งผลให้ร่างกายคุ้นอุณหภูมิต่ำ 22-25 องศาฯ เมื่อออกมาสัมผัสอุณหภูมิภายนอกที่สูงกว่า 35-40 องศาฯ “ร่างกาย” จึงรับรู้ความร้อนมากกว่าปกติโดยเฉพาะในเขตเมืองอย่าง “กรุงเทพฯ” อันมีความร้อนสะสมจากถนน ตึก และคอนกรีต ทำให้ตอนกลางคืนก็ยังร้อน “บางครั้งฝนมาช่วยบรรเทาชั่วคราว” แต่ก็ไม่สามารถลดความร้อนที่เกาะ ในเมืองได้ สัญญาณน่ากังวลโลกร้อนนี้ “ยังก่อเกิดอากาศแปรปรวนสุดขั้ว” จนปีนี้บางพื้นที่เกิดปรากฏการณ์เย็นชั่วคราวในฤดูร้อนตอนกลางคืนช่วง เม.ย.เดือนร้อนที่สุดมาจาก 2 เรื่อง คือ “น้ำแข็งขั้วโลกระบาย” เกิดกระแสลมพาความเย็นลงมาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นระลอก 2-3 วัน และบวกกับไทยเผชิญลานีญาอุณหภูมิลดลง 0.2 องศาฯทำให้ลานีญาเป็นตัวหน่วงชั่วคราวของอุณหภูมิ “เกิดภาวะเย็นวูบชั่วคราว” แม้จะเป็นในช่วงฤดูร้อนก็ตาม “อันเป็นสัญญาณของแนวโน้มจะเกิดขึ้นถี่ในอนาคตเรื่อยๆ” ตราบใดที่อุณหภูมิโลกยังเพิ่มขึ้นเช่นนี้ ทำให้เรามีโอกาสจะต้องเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนแบบสุดขั้วบ่อยแบบนี้อีกถ้าย้อนกลับมาดู “เรื่องฝน” หากวิเคราะห์แนวโน้มเบื้องต้นปีนี้มีสัญญาณฝนตกมาเร็วกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่เรียกว่า “ฝนหลงฤดูอย่างมีนัยสำคัญ” อันเป็นปรากฏการณ์จากสภาพอากาศแปรปรวนผลพวงมาจาก “โลกร้อน” ทำให้แผ่นดินร้อนปะทะมวลอากาศเย็นแผ่ปกคลุมมาเป็นระลอก หรือมาเจอความชื้นจากอ่าวไทยที่พัดเข้ามาสิ่งนี้ทำให้เกิดการยกตัวของอากาศ “ก่อเกิดเป็นเมฆฝนตกหนัก 15–30 นาที” แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ปริมาณน้ำฝนตกมามาก ก็ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังรอการระบายในพื้นที่เขตเมือง หรือบริเวณระบบระบายน้ำไม่อาจรองรับน้ำจำนวนมากได้ อย่างเมืองพัทยา จ.ชลบุรี มักระบายน้ำฝนลงทะเลไม่ได้เอ่อท่วมเกิดขึ้นให้เห็นเป็นประจำสำหรับ “พายุ” ปีนี้มีโอกาสเกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง 10 ลูก จากค่าเฉลี่ยปกติ 7-8 ลูก เพราะอิทธิพลลานีญาอ่อนกำลังเปลี่ยนแปลงความชื้น และอุณหภูมิผิวน้ำทะเลเอื้อต่อการเกิดพายุขยายตัวกว้างขึ้นเรื่องนี้แม้จะสามารถประเมินจำนวนพายุได้คร่าวๆ “แต่ทิศทางการเคลื่อนตัวของพายุยังไม่อาจคาดการณ์ได้แม่นยำก่อนล่วงหน้า 5 วัน” ส่วนใหญ่มักจะเคลื่อนตัวไปยังประเทศเกาหลี และญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากพายุหรือไม่นั้นยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไปเหตุนี้ในช่วงเข้าสู่ “ฤดูฝนเต็มตัว” ตั้งแต่เดือน พ.ค.มีแนวโน้มว่าปริมาณฝนจะมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ จึงควรวางแผนบริหารจัดการน้ำ และเร่งเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนน้ำท่วมประเมินไม่น่าเกิดอุทกภัยรุนแรงครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ เพียงแต่ห่วง “น้ำท่วมขังเฉพาะจุด” เพราะลักษณะของฝนมักตกหนักเป็นจุดๆลักษณะเป็นน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ลุ่มต่ำ น้ำรอการระบายในเขตเมือง แม้ไม่ใช่น้ำท่วมใหญ่ก็ส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อน และเสียหายต่อทรัพย์สิน รวมถึงส่งผลกระทบต่อการสัญจรในพื้นที่ที่เกิดเหตุได้ ปัญหามีอยู่ว่า “กลางเดือน ก.ค.” คาดว่าฝนจะทิ้งช่วงต่อเนื่องส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนตกน้อย หรือไม่มีฝนตกเลยติดต่อกันหลายวัน เช่นนี้ต้องติดตามดูช่วงปลายฤดูฝนหากฝนยังน้อยอยู่ปี 2569 “อาจเกิดการขาดแคลนน้ำ” เพราะแม้น้ำต้นทุนทั่วประเทศ ปีนี้จะดีกว่าปี 2567 แต่ก็มีน้ำเหลือใช้ได้จริงเพียง 30% ของปริมาณ น้ำทั้งหมดความท้าทายสำคัญจะอยู่ที่ช่วงปลายปี “ปรากฏการณ์ลานีญาจะลดอ่อนกำลังลง” มีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะเอลนีโญทำให้ฝนตกน้อย และไม่เพียงเท่านั้นร่องความกดอากาศต่ำตอนบนยังจะขยับเลื่อนลงมายังภาคกลางก่อนจะขยับลงไปสู่พื้นที่ภาคใต้ “ฝนในภาคเหนือจะมีน้อย” กลายเป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญจะลดลงด้วยท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงนี้ “ประเทศไทย” จึงยังคงมีความจำเป็นในการเพิ่มปริมาณน้ำสำรองเพิ่มขึ้นให้ได้อีก 70% ของความจุ เพื่อให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นนี้การบริหารจัดการน้ำ “ควรวางแผนจัดสรรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ” ทั้งเพิ่มการกักเก็บน้ำฝนที่ตกในทุกช่วงต้นฤดูฝนให้ได้มากที่สุด และพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก-ขนาดกลาง เพื่อรองรับปริมาณฝนที่จะตกลงมาอย่างเต็มที่ รวมถึงต้องมีการเตรียมมาตรการรับมือกับภาวะฝนน้อย หรือภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นในปี 2569 ไว้ด้วย ในส่วนฤดูฝน “ควรเร่งการเพาะปลูก” โดยเกษตรกรต้องพิจารณาเร่งทำนา หรือเพาะปลูกพืชในช่วงต้นฤดูฝน เพื่อใช้น้ำฝนที่มีปริมาณมากและวางแผนการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก่อนเดือน ส.ค.แล้วหลังต้นฤดูฝน หรือหลังการเก็บเกี่ยวควรใช้น้ำอย่างประหยัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในอนาคตรับมือกับความไม่แน่นอนนี่เป็นสถานการณ์ฝนที่มากกว่าปกติช่วงต้นฤดูฝนปี 2568 “เป็นโอกาสกักเก็บน้ำต้นทุน” แต่ก็ต้องวางแผนการใช้น้ำอย่างรอบคอบ และเตรียมพร้อมสำหรับความเสี่ยงภัยแล้งที่อาจตามมาในปี 2569 สำหรับเกษตรกรควรปรับปฏิทินการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับน้ำที่คาดการณ์ไว้นี้คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม