แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ใน กทม.กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินในเบื้องต้นว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอาจคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท จากการหยุดชะงักหรือเลื่อนออกไปของกิจกรรมเศรษฐกิจ รวมถึงกำลังซื้อที่อาจลดลง เนื่องจากธุรกิจและครัวเรือนต้องโยกกระแสเงินสดไปซ่อมแซมความเสียหายของอาคาร เมื่อรวมแล้วผลกระทบจะมากกว่านี้ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผลกระทบต่อยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์คอนโดในพื้นที่กรุงเทพฯอาจช้าลง คนมีความต้องการเช่ามากขึ้น แต่ไม่อยากเป็นเจ้าของ ข้อมูลจาก REIC พบว่า จำนวนอาคารชุดสะสมรอขายในกรุงเทพฯมีกว่า 65,000 หน่วย มูลค่ากว่า 375,000 ล้านบาทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินด้วยว่า แผ่นดินไหวส่งผลกระทบต่อจีดีพีประมาณ 0.06% ทำให้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีโอกาสลดลงมาที่ 2.4% ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังได้ ปรับลดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 จาก 37.5 ล้านคน โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวหลัก เช่น จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ ที่เริ่มลดลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคมที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ยังรอผลกระทบจากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ (Reciprocal tariff) ในวันที่ 2 เมษายน หากไทยโดนขึ้นภาษีนำเข้า 25% ก็จะส่งผลกระทบต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นอีกราว –0.3% (วันนี้ก็รู้แล้วเพราะตรงกับ 2 เมษายนที่สหรัฐฯพอดี) รวมสองกรณีจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทยสูงถึง –0.36% เหมือนเจอแผ่นดินไหว 2 ระลอกเลยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังได้ประเมินว่า ผลกระทบจากแผ่นดินไหว ประกอบกับความเสี่ยงในสงครามการค้า กนง.มีโอกาสสูงที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นกว่าเดิม จากที่คาดว่าจะปรับลดในช่วงครึ่งหลังของปี มาเป็นรอบการประชุมในเดือนเมษายนนี้ (30 เมษายน) และครึ่งหลังของปี กนง.มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อย 1 ครั้งแต่ คุณลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง คาดว่า จะมีผลในระยะสั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลังกำลังประเมินผลกระทบอยู่ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง รัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้จีดีพีเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3% หรือมากกว่านั้น กระทรวงการคลังได้เตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ผ่านมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้จากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 7 แห่ง รวมทั้งธนาคารกรุงไทยด้วยแต่ผลกระทบด้าน นักท่องเที่ยวต่างชาติ ดูเหมือนจะเป็น อาฟเตอร์ช็อกที่มีความรุนแรง ไม่แพ้อาฟเตอร์ช็อกสะกายที่ตามมาคุณกฤษ พัฒนสาร กรรมการและเลขานุการ สมาคมสายการบินไทย ซึ่งมีสมาชิก 6 สายการบิน ส่วนใหญ่เป็นสายการบินต้นทุนต่ำ เปิดเผยว่า ตัวเลขการจองตั๋วเครื่องบินรายวันในช่วง 2 วันที่ผ่านมาลดลงเฉลี่ย 40–60% เฉพาะ ตลาดจีนลดลงเกือบ 60% อินเดียลดลง 45% เวียดนามลดลง 45% มาเลเซียลดลง 43% และมีผู้โดยสารติดต่อเข้ามาประมาณ 1,000 เคส กว่า 90% ขอเลื่อนการเดินทางอีก 10% ยกเลิกการเดินทาง ส่วน เทศกาลสงกรานต์ ยอดจองยังนิ่งอยู่คุณสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีการท่องเที่ยวฯ ก็เปิดเผยว่า “ได้รับข้อเรียกร้องจากภาคเอกชนคือ อยากให้ออกหนังสือรับรองว่า อาคารไหน โรงแรมไหน ผ่านการตรวจสอบด้านวิศวกรรมแล้วว่ามีความปลอดภัย แล้วให้การท่องเที่ยวฯและหน่วยงานต่างๆกระจายข้อมูลไปทั่วโลก เพราะการประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉินในภาษาอังกฤษจะค่อนข้างรุนแรง มีผลต่อประกันภัยต่างๆของภาคการท่องเที่ยว” ตนได้นำข้อเสนอไปให้นายกฯแล้วฟังแล้วก็ละเหี่ยใจ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องรู้ ไม่ต้องรอให้เอกชนเรียกร้อง ปัญหาของประเทศไทย ส่วนใหญ่เกิดจากรัฐบาลและข้าราชการที่ไม่เข้าใจและไม่ค่อยมีเหตุผล ไปจนถึงบางกรณีที่มีการทุจริต ก็หวังว่า คดีตึก สตง. คงไม่ปล่อยให้ลอยนวลไปอีก.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม