เรื่อง “ข้าว” นั้น เป็นอะไรที่คนไทยคุ้นเคยมาตลอด เนื่องจาก เป็นผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญที่ใช้บริโภคพูดง่ายๆเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงชีวิตจนกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้“ข้าว” กับ “ชาวนา” จึงเป็นของคู่กันสำหรับคนไทยยิ่งไปกว่านั้น นอกจากใช้บริโภคภายในประเทศแล้วยังเป็นสินค้าส่งออกที่ทำให้รายได้เข้าประเทศเป็นอันดับ 1 อีกต่างหากชาวนาไทยจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “คนพิเศษ” เหนือกว่าอาชีพอื่นๆในทางการเมืองถือเป็น “ของร้อน” ที่สามารถให้คุณให้โทษได้หากทำดีก็ดีไป หากไปคิดชั่วทำชั่วก็มอดไหม้ตามไปด้วยอย่าง “จำนำข้าว” ที่เกิดการทุจริตใหญ่โตสุดท้ายก็เข้าคุกเข้าตะรางกันมาแล้ววันนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีก ทำให้เก้าอี้เสนาบดีที่รับผิดชอบร้อนไม่ต่างกันแม้ไม่ใช่เรื่องทุจริตโกงกินแต่เป็นเรื่องขาดการดูแลเอาใจใส่“พิชัย นริพทะพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำลังอยู่ในอาการไม่สู้ดีนักประเด็นใหญ่เริ่มมาจากการที่ สส.เพื่อไทย ได้ออกมาโจมตีที่ไม่ดูแลปล่อยให้ราคาข้าวตกต่ำจนชาวนาได้รับความเดือดร้อนและมีการชุมนุมกันที่หน้าทำเนียบ ซึ่งเจ้าตัวเดินทางไปต่างประเทศต้องให้รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ออกมารับเรื่องร้องทุกข์ถัดจากนั้น สส.ในสภาเกือบทุกพรรคก็เรียงหน้ากันอภิปรายโจมตีอย่างหนักว่ารัฐมนตรีไม่รู้ถึงความเดือดร้อนร้อนถึงคนใหญ่ในทำเนียบต้องเรียกตัวกลับจากต่างประเทศเป็นการด่วนและประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาทันทีและยังเรียกประชุมคณะที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลกอีกด้วย!ประเด็นที่จับตากันก็คือรัฐมนตรีแทบจะไม่รู้ว่าเกิดปัญหาและไม่ได้มีการเตรียมการแก้ไขแต่อย่างใด จนนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ไปประชุมและหาทางแก้ไขจึงได้มีการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาแต่ผลที่ออกมาสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยไม่ยอมรับ เพราะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง และให้ไปหาแนวทางใหม่ปัญหาราคาข้าวตกต่ำนั้นมีหลายปัจจัยที่พอสรุปได้ก็คือข้าวลอตนี้เป็นข้าวนาปรังที่มีการแนะนำให้เกษตรกรทดลองปลูก เพราะต้นทุนต่ำแต่ได้ผลผลิตมากนั่นทำให้จำนวนข้าวมีปริมาณมากเกินไป ขณะที่อินเดียก็ปลูกข้าวได้มาก ทำให้ตลาดข้าวโลกมีจำนวนมากเป็นเหตุให้ราคาข้าวตกต่ำจนเกิดปัญหา...รัฐมนตรีพาณิชย์และรัฐมนตรีช่วยแม้จะเคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อนแต่ก็เป็นมือใหม่หัดขับด้านสินค้าการเกษตรก็เลยเกิดปัญหาอีกทั้งมัวแต่ยุ่งกับนโยบายอื่นๆ ละเลยเรื่องข้าว ก็เลยไปกันใหญ่!ยิ่งรัฐมนตรีพาณิชย์นั้นเป็น “เด็กฝาก” ที่ไม่ใช่คนของนายใหญ่ และนายน้อยโดยตรง ประกอบกับไม่มีฐานเสียงจาก สส.ด้วยก็เลยกลายเป็น 2 แรงบวก คือ “การเมืองและความผิดพลาด” ในการบริหารงานอาการอย่างนี้เห็นท่าจะรอดยาก เพราะเสียงจากบรรดาแกนนำ พรรคก็ไม่ได้ออกแรงหนุนเท่าใดมีแต่บอกตรงกันว่าแล้วแต่นายก รัฐมนตรีตัดสินใจในการปรับ ครม.ด่านแรกที่จะต้องเจอก็คือพรรคฝ่ายค้าน คงจะเปิดซักฟอกแน่ เพราะหลักฐานชัดเจนผลจากการนี้ นายกรัฐมนตรีก็สามารถปลดจากรัฐมนตรีได้ โดยใช้ เหตุผลบริหารงานผิดพลาด ทำให้รัฐบาลและพรรคเกิดความเสียหาย“รัฐมนตรีพิชัย” นั้น เคยถูกปลดจากตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงานมาแล้วนี่กำลังถูกหมายหัวเป็นคำรบสองอีกแล้ว!"สายล่อฟ้า"คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม