“งบประมาณด้านสุขภาพต้องลดลง แต่ขณะเดียวกันสุขภาพของประชาชนก็ต้องดีขึ้น” เป็นทิศทางอนาคตที่หลายประเทศเห็นตรงกัน ในงานประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2568 (Prince Mahidol Award Conference : PMAC 2025) เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมานพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. บอกว่า จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่งานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ซึ่งปัจจุบันหากไม่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเลย เป้าหมายคงจะสำเร็จไม่ได้“ทุกวันนี้มีการแข่งขันและพัฒนาเทคโนโลยีทีเกี่ยวกับการ แพทย์และสุขภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การคิดค้นเทคโนโลยี ในราคาที่ไม่แพง แต่ได้ผลลัพธ์ที่สามารถป้องกันโรค หรือลด จำนวนผู้ป่วยได้มากขึ้น ซึ่งเป็นทิศทางใหม่ของการพัฒนาเทคโนโลยี ด้านสุขภาพที่กำลังเกิดขึ้น”คาดหวัง...ให้ประชาชนเข้าถึงการใช้งานได้จำนวนมาก ช่วยป้องกัน การเจ็บป่วยก่อนเป็นโรค ซึ่งประเทศไทยเองก็ต้องการเทคโนโลยีในแนวทางนี้เช่นกัน เพื่อให้ประชาชนในระบบบัตรทองเข้าถึงบริการมากขึ้นปัจจุบันมีหลายประเทศนำเทคโนโลยีที่อาจจะคาดไม่ถึงมาผนวกเข้ากับด้านการแพทย์ เช่น สิงคโปร์ มีนโยบายแจกนาฬิกาข้อมือสุขภาพที่นับก้าวเดินให้ประชาชน เพื่อกระตุ้นให้มีกิจกรรมทางกาย รวมถึงมีการมอบรางวัลเป็นสิทธิประโยชน์ให้กับประชาชนที่มีกิจกรรมทางกายได้ตามเป้าหมาย ภายใต้ความร่วมมือกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน)...“TCELS” จัดนิทรรศการแสดงผลงานนวัตกรรมการแพทย์ไทยนำเสนอ 7 นวัตกรรมทางการแพทย์ พัฒนาโดยนักวิจัยไทย แสดงศักยภาพในการผลิตเทคโนโลยีด้านสุขภาพ ช่วยให้เข้าถึงการรักษาที่มีราคาแพง ขยายบริการตรวจ...ป้องกันโรคได้แก่ เท้าเทียมไดนามิกเอสเพส (sPace), แผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากวัสดุ Polymethylmethacrylate ด้วยการพิมพ์ 3 มิติ, แผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากไทเทเนียม, ชุดตรวจคัดกรอง โรคพยาธิใบไม้ในตับแบบรวดเร็ว (OV-ATK), วัคซีนป้องกันโรคไอกรน ชนิดไร้เซลล์ : aP, รากฟันเทียมไทยและถุงทวารเทียมดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ TCELS เสริมว่า TCELS ได้ร่วมกับ สปสช. ในการสนับสนุนนวัตกรรมการแพทย์ไทย ให้สามารถขยายตัวในเชิงพาณิชย์ พร้อมกับการสร้างประโยชน์ต่อสังคมนวัตกรรมการแพทย์ไทยที่นำมาจัดแสดงในวันนี้ ได้รับการสนับสนุนการวิจัยพัฒนาจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานให้ทุน อาทิ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการ แข่งขันของประเทศ (บพข.) และ TCELS ฯลฯรวมถึงความร่วมมือการวิจัยพัฒนาขยายผลทั้งกับสถาบันการแพทย์ สถาบันวิจัย หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ซึ่งการสนับสนุน การวิจัยและพัฒนาเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนไทย แต่ยังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีการแพทย์ที่มีราคาสูงจากต่างประเทศ ทำให้การรักษาเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นในบรรดานวัตกรรมต่างๆ “รากฟันเทียม” ที่พัฒนาโดยมูลนิธิทันตนวัตกรรมในพระบรมราชูปถัมภ์ ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญ ที่ทำให้ผู้ป่วยกว่า 10,000 คน เข้าถึงบริการฝังรากฟันเทียมภายใต้ ระบบบัตรทอง... ตั้งแต่ดำเนินการเมื่อเดือนตุลาคม 2565 จากเดิมที่ผู้ป่วย ไม่สามารถจ่ายให้กับรากฟันเทียมนำเข้า ซึ่งมีราคาประมาณ 50,000–120,000 บาทต่อซี่อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ ชุดตรวจคัดกรองโรคพยาธิใบไม้ในตับแบบรวดเร็ว (OV-ATK) ที่พัฒนาโดยสถาบันวิจัยมะเร็งท่อน้ำดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งชุดตรวจนี้สามารถตรวจหาการติดพยาธิใบไม้ตับได้ภายใน 15 นาที ป้องกันโรคมะเร็งท่อน้ำดีซึ่งเป็นมะเร็งที่อันตรายถึงชีวิตนอกจากนี้ สปสช. ได้บรรจุแผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากไทเทเนียมเข้าสู่สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา นวัตกรรมนี้พัฒนาโดยบริษัท เมติคูลี่ จำกัด ซึ่งมีผู้ป่วยที่ต้องการกะโหลกศีรษะเทียมมากถึง 7,000-20,000 คนทั้งยังเพิ่มสิทธิประโยชน์แผ่นปิดกะโหลกศีรษะผลิตจากวัสดุ Polymethylmethacrylate ด้วยการพิมพ์ 3 มิติ คิดค้นโดย สวทช. และ spin–off ออกมาเป็นบริษัท คัสตอมไมซ์ เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งทำให้ลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการ ผ่าตัดกะโหลกศีรษะขณะที่วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์ (บริษัท ไบโอเนท- เอเชีย จำกัด) ได้บรรจุเข้าสิทธิประโยชน์บัตรทองสำหรับหญิงตั้งครรภ์ (มิ.ย.66) ส่วนถุงทวารเทียมพัฒนาโดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมกับบริษัท โนวาเทค เฮลธ์แคร์ จำกัด ได้บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 อีกทั้งเท้าเทียมไดนามิกเอสเพส (sPace) พัฒนาโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกบรรจุเข้าสู่สิทธิประโยชน์เมื่อเดือนมีนาคม 2567 ทำให้คนพิการสามารถเข้าถึง เท้าเทียมที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติและความอ่อนนุ่มคล้ายคลึงกับเท้าธรรมชาติ“การพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ป่วย และอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศ” ดร.จิตติ์พร กล่าวทิ้งท้ายนพ.จเด็จ ย้ำว่า เรา (สปสช.) สนับสนุนผลงานของนักวิจัยและบริษัทไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนำนวัตกรรมที่ได้รับการบรรจุในบัญชีนวัตกรรมไทยเข้าสู่สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ“การนำนวัตกรรมของไทยเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการแพทย์ในราคาที่เหมาะสม ทั้งยังช่วยลดต้นทุนบริการสุขภาพ สร้างตลาดให้กับนวัตกรรมไทย เสริมสร้างศักยภาพของ SMEs ให้มีความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ” ปัจจุบันมี “ผู้ป่วย” กว่า 105,000 คน ที่ได้รับประโยชน์จาก “นวัตกรรม” ทั้งหมดนี้ แม้จำนวนนี้อาจดูไม่มาก แต่สามารถสร้างรายได้ให้ SMEs กว่า 321 ล้านบาท.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม