อีกไม่กี่เดือนคนไทยคงได้เห็นการ “ปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่” (Tax Reform) ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการปฏิรูปภาษีทั้งระบบตั้งแต่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไปจนถึง ภาษีความมั่งคั่ง ดึงคนที่ไม่เคยยื่นภาษีเข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพิ่มเป็น 29 ล้านคน การปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่นี้จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ดึงดูดคนเก่งจากทั่วโลกให้มาอยู่เมืองไทย ที่สำคัญคือ “เพิ่มรายได้” ให้กับรัฐบาลที่ขาดดุลงบประมาณมายาวนาน จนรับภาระขาดดุลต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว ที่ผ่านมารัฐบาลมีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายทุกปี ต้องกู้มาใช้จ่ายทุกปี ทำให้มีเงินเหลือมาพัฒนาประเทศน้อยมาก จนปัจจุบันต้องกู้เงินมาพัฒนาประเทศกันแล้วตั้งแต่ปี 2557–2568 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณสะสมสูงถึง 39.9% ของจีดีพี ในอนาคตก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง คาดว่าปี 2569-2572 รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มอีก 14.3% ของจีดีพี ทำให้ ยอดขาดดุลสะสมของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็น 54.2% ของจีดีพี เกินกว่าครึ่งของจีดีพี จึงเป็นที่มาของแนวคิดการเร่งปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพหนี้สินล้นพ้นตัวจนเอาตัวไม่รอดทั้งรัฐบาลและประชาชนผมเพิ่งอ่านบทสัมภาษณ์เอกซ์คลูซีฟใน วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ เรื่อง “เปิดแผนปฏิรูปภาษี VAT/Corporate/ Wealth” เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกกับ คุณลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้รับผิดชอบการจัดทำแผนการปฏิรูปภาษีครั้งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย เป็นการปฏิรูปภาษีทั้งระบบ ทั้ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษี ความมั่งคั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยไม่เคยคิดไม่เคยทำมาก่อนรวมทั้ง การเปลี่ยนแนวคิดการจัดเก็บภาษีใหม่ จากเดิมที่ เก็บภาษีจากรายได้ เป็นการ เก็บภาษีจากการใช้จ่าย ซึ่งก็คือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จะไม่เป็นภาระต่อคนจนและชนชั้นกลาง แต่จะเป็น ภาระของคนรวยที่ต้องจ่ายภาษีมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยและทรัพย์สินทั้งหลายการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่นี้ คุณลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ค่อนข้างละเอียด ผมจะนำเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไป คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มาเล่าสู่กันฟังพอสังเขปครับการปฏิรูปภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า VAT เป็นภาษีเพื่อการบริโภค เป็นภาษีที่เก็บง่ายและเลี่ยงยาก เมื่อซื้อสินค้าก็จะมี VAT รวมอยู่ในราคาสินค้า ปัจจุบันมีคนเข้าใจผิดเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มว่า หากขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้มีรายได้น้อยหรือคนจนจะได้รับผลกระทบ ในความเป็นจริงได้รับผลกระทบน้อยมาก สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต เช่น อาหาร ยารักษาโรค พืชผลเกษตร หนังสือตำราเรียน บริการการศึกษา การรักษาพยาบาล ฯลฯ ไม่ต้องเสียภาษี VAT อยู่แล้วจากการศึกษาของ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) พบว่า ผู้มีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 14,000 บาท จะบริโภคสินค้าที่มี VAT เดือนละ 5,500 บาท ซึ่งมีภาระภาษีเพียงเดือนละ 360 บาท หากเพิ่ม VAT 1% จะทำให้มีภาระภาษีเพิ่มขึ้นเดือนละ 50 บาท หรือปีละ 600 บาท ซึ่งน้อยมาก แต่รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 70,000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับโลกภาษี VAT ของไทยเกือบจะตํ่าสุด การศึกษายังพบว่า การขึ้น VAT 1% จะกระทบจีดีพีเพียง 0.015% เท่านั้นการปฏิรูปภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนโยบายส่งเสริมคนไทยและคนต่างชาติที่มีศักยภาพให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ไม่ได้เสียภาษีแบบขั้นบันไดเหมือนคนไทยทั่วไป แต่เสียภาษีในอัตรา 17% จากรายได้ที่ไม่หักค่าใช้จ่าย กระทรวงการคลังจึงมีแนวคิดที่จะใช้ภาษีแบบเดียวกันนี้กับคนไทยในประเทศ เพื่อความยุติธรรม ทำให้ประเทศไทยมีภาษีเงินได้ไม่สูง น่ามาใช้ชีวิต ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุน ดึงดูดคนที่มีศักยภาพมาอยู่ประเทศไทย กระทรวงการคลังกำลังทำการบ้านอยู่ ผมแว่วว่า รัฐมนตรีคลังเร่งให้เสร็จภายใน 3 เดือน ต้องรอดูว่าจะเสร็จหรือไม่ แต่ที่ชัวร์คือ จะมีผู้เสียภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านคนเดิม แน่นอน.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม