"น้ำมันหอมระเหย..สมองดีขึ้น 226%" วารสาร Frontiers Neuroscience กรกฎาคม 2023 รายงานผลการศึกษาคนอายุ 60–85 ปี สุขภาพดี ทางร่างกายและการประเมินความจำ โดยได้กลิ่นเครื่องหอมระเหย (odorant diffuser) คืนละ 2 ชั่วโมงหอมระเหยจากสารธรรมชาติ อาทิ กลิ่นกุหลาบ ส้ม ยูคาลิปตัส มะนาว เปปเปอร์มินต์ โรสแมรี่ ลาเวนเดอร์...ด้วยมีข้อค้นพบว่าผ่านไปหกเดือนตรวจสอบความจำดีขึ้น 226% และยืนยันจากการประเมินประสิทธิภาพของเส้นใยประสาท พบว่ามีการเชื่อมโยงระหว่างสมองส่วนหน้า เข้ากับสมองส่วนความจำ “หมอดื้อ” หรือ ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ย้ำว่า ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าประเภทของอาหาร ผัก ผลไม้กากใย ถั่ว ธัญพืช งด..ลดเนื้อสัตว์ ทานปลาได้ ลดแป้ง“ร่างกายและสมองจะยิ่งสดใสขึ้นไปอีก และแน่นอนเคลื่อนไหวตลอดไม่ใช่นั่ง ไม่ว่าในบ้านที่ทำงาน...ทำให้ได้ จากการเดินหมื่นก้าวต่อวันและได้รับแสงแดดด้วย ใครไม่เคยเดินเริ่มทีละน้อยก่อนนะครับ”เรื่องใกล้ตัวต่อมา “วิตามินดีต่ำ…คือใช้ชีวิตผิด” เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก เพราะที่ผ่านมามีการให้ความสำคัญ จนกระทั่งต้องมีการตรวจวัดระดับของวิตามินดีในการตรวจสุขภาพ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นอกจากนั้นยังมีการเสริมวิตามินดีถ้าพบว่ามีระดับต่ำจนกระทั่งมีการเสริมวิตามินดีเพื่อใช้ในการป้องกันโรคหรือภาวะต่างๆ ตั้งแต่โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และเส้นเลือดตีบ เบาหวาน และเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงสำหรับการเสียชีวิตด้วยสาเหตุต่างๆ กระนั้นก็มีการศึกษาวิจัย ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการใช้วิตามินดีในจุดประสงค์ต่างๆดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์ และหน่วยงานอิสระของรัฐสภาสหรัฐฯ US preventive task forces ที่ทำหน้าที่ในการประเมินการใช้ยาต่างๆว่าเกิดประโยชน์และคุ้มค่าจริงหรือไม่ ได้ประกาศหลายครั้งด้วยกันว่า..“ไม่ควรต้องมีการเจาะระดับของวิตามินดีเพื่อเสริม หรือเติมเข้าไปเพื่อหวังปราศจากโรค อายุยืน”“หมอดื้อ” ได้นำหลักฐานดังกล่าวที่เกี่ยวกับการใช้วิตามินดีและแคลเซียมที่อาจไม่เกิดประโยชน์นัก รวมทั้งภาวะกระดูกพรุน มานำเสนอไปแล้วในหลายบทความผ่านคอลัมน์สุขภาพหรรษา นสพ.ไทยรัฐกรณีคุณหมอ F.Perry Wilson ใน Medscape (29 พ.ย.2565) ที่ได้สรุปผลของการศึกษาต่างๆ รวมทั้งการวิเคราะห์อภิมาน จนกระทั่งถึงการรายงานล่าสุดถึงความล้มเหลวในการใช้วิตามินดีเสริมในเด็กที่ตรวจพบว่าขาดวิตามินดี เพื่อที่จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นและเจริญเติบโตดีขึ้น และในการป้องกันวัณโรคเนื้อหาที่สำคัญที่จะสื่อก็คือ “ระดับของวิตามินดีนั้น แท้ที่จริงเป็นเพียงตัวสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยถ้ากินอาหารสุขภาพที่มีประโยชน์โดยไม่กินอาหารร้อนแรงที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ออกกำลังกายสม่ำเสมอภายใต้แสงแดด ระดับวิตามินดีก็จะไม่ต่ำ”คนที่เจาะเลือดแล้วมีระดับวิตามินดีต่ำนั้น จะกลายเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญให้ปรับปรุงการใช้ชีวิต อาหารการกินและการออก กำลังทั้งหมดตอกย้ำรายงานจากการสังเกตในยุคแรกๆจะพบว่าระดับวิตามินดีที่ต่ำนั้นเกี่ยวข้องกับภาวะหรือโรคแทบทุกชนิด แต่ทั้งหมดไม่ได้พิสูจน์ว่าการขาดวิตามินดีทำให้เกิดโรค หรือเป็นเหตุเป็นผลกัน แท้จริงเป็นเพียงเสมือนดัชนีชี้ความบกพร่องทางสุขภาพเท่านั้นในเรื่องของการป้องกันมะเร็งซึ่งเชื่อกันว่า ถ้ามีวิตามินดีต่ำจะเป็นมะเร็งมาก แต่เมื่อทำการศึกษาใน 26,000 ราย เทียบกับยาหลอก ไม่พบว่ามีประโยชน์จริง...ในเรื่องโรคหัวใจและเส้นเลือดซึ่งเชื่อกันว่าถ้ามีวิตามินดีต่ำจะมีความเสี่ยงมากขึ้นและเช่นเดียวกันใน 26,000 ราย ก็ไม่พบว่ามีประโยชน์จริงในเบาหวาน การศึกษาใน 2,400 ราย ที่อยู่ในระยะเกือบจะเป็นเบาหวาน (pre-diabetics) ไม่พบว่ามีประโยชน์จริง“ที่ว่าเท็จกลับจริง..ของโบราณกลับเป็นดี” ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ว่า “สิ่งที่คิดว่าเชยที่มีการใช้กันมาเนิ่นนานและพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติว่าได้ผล แต่ถูกละเลยและดูถูกว่า ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ซึ่งหลักฐานที่ว่ามีการสอนเป็นเรื่องเป็นราวในโรงเรียนแพทย์ว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารเชื่อถือได้....?” ใกล้ตัวคนไทยคือ “ยาสมุนไพร”...ยกตัวอย่าง “ฟ้าทะลายโจร” ไม่ว่าจะเป็นแบบสกัดหยาบซึ่งอาจต้องกินมื้อละหลายเม็ด หรือสกัดเฉพาะที่มีสารออกฤทธิ์เยอะ มีผลในการรักษา โดยถ้าไม่ได้กินตลอดต่อเนื่องไม่ได้ทำให้เกิดตับอักเสบ ดังที่ถูกป้ายสีจากทางการมาตลอดอีกทั้งมีข้อมูลในวารสารทางวิทยาศาสตร์ลงลึกถึงกลไกการออกฤทธิ์ต่อต้านไวรัส สำคัญคือสามารถต่อต้านไวรัสได้หลายกลุ่มและความที่มีกลไกออกฤทธิ์ได้หลายตำแหน่ง ทำให้สู้ได้แม้ว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์...รวมทั้งสมุนไพรอื่นๆ ได้แก่ ขมิ้นชัน พลูคาว ยาในตำรับจารึกแพทย์แผนไทย ยาขาว และอื่นๆ อีกมากมายถึงตรงนี้ขอย้ำว่าหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข” คือต้องการให้เกิด “การแพทย์สะอาด” จากการมองเห็นปัญหาว่า ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา การรักษา หรืออุปกรณ์ต่างๆในเรื่องของการวิจัย อาจจะมีความเชื่อมโยงหรือมีอิทธิพลจากบริษัทผู้ผลิตผล..ทำให้ “ค่าใช้จ่าย” สูงขึ้นตามไปด้วย จนกระทั่งประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ ขณะเดียวกันบทความทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นก็มีความเชื่อมโยงอยู่กับบริษัท ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อมูลที่เผยแพร่นั้นเกิดการเบี่ยงเบน...“เรารู้ว่าการแพทย์กับธุรกิจ บางครั้งบางครามันแยกกันไม่ออกเพราะเรื่องของผลกำไร?”เราจะเป็นเหมือนคนกลาง ทำงานเที่ยงตรง...เพื่อสุขภาพ (ชีวิต) ที่ดีของคนไทยทุกๆคน.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม