เทศกาลตรุษจีนที่กลิ่นควันธูปไม่อบอวล เสียงจุดประทัดไม่ดังแผดหูสนั่นหวั่นไหว เผากระดาษเงินกระดาษทองกันพอเป็นพิธีภายใต้ความตระหนักในมหันตภัยฝุ่นควันพิษ PM 2.5ณ จุดที่ชาวบ้านร้านตลาดรู้หน้าที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม ประชาชนคนไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่แสดงความ “ตื่นตัว” ให้ความร่วมมือกับมาตรการลดต้นตอฝุ่นควันมรณะของภาครัฐสถานการณ์ซีเรียสเข้าโซนอันตราย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแม้โชคจะเข้าข้าง จังหวะฉลองเทศกาลตรุษจีนได้ธรรมชาติช่วย ตามสภาพความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมภาคเหนือ ภาคอีสาน ความเย็นแผ่มาถึงภาคกลาง และ กทม. ทำให้เกิดลมหนาวพัดฝุ่นเจือจางลง ค่า PM 2.5 จากแดงเป็นส้ม จากส้มเป็นเหลือง บางเขตขึ้นสีเขียวพอจะถอดหน้ากากอนามัย หายใจโล่งปอดกันได้ 1-2 วัน แต่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.เตือนล่วงหน้า สั่งการให้เฝ้าระวังฝุ่นควันจะกลับมาหนักหนาสาหัสอีกรอบในวันที่ 29-30 มกราคมนี้อย่างดีก็ทำได้แค่แผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน แก้ไขวิกฤติกันหน้างาน ห้ามรถบรรทุกควันดำเข้ากรุงเทพฯชั้นใน สั่งปิดโรงเรียน กทม. ขอความร่วมมือเวิร์กฟรอมโฮม จัดให้ขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ฟรี ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวเพิ่มควันไอเสีย“อีเวนต์ประจำทุกปี” แต่พอฝุ่นซาก็ปิดจ็อบแยกย้ายทั้งๆที่ฝุ่นพิษ PM 2.5 ไม่มีวันหาย ถ้าปล่อยให้วนไปวนมาตามฤดูกาล สวนทางวิกฤติที่หนักหนาสาหัสขึ้นทุกวินาที โจทย์ร้อนไม่ใช่แค่ “วาระแห่งชาติ” แต่วิกฤตการณ์ปัญหายกระดับเป็น “วาระภูมิภาคอาเซียน”ณ จุดที่โลกแห่งความจริงเหมือนกับฉากหนัง “วันสิ้นโลก”ตามสภาพที่ไม่ต้องร้องเพลงถาม “หมอกจางๆหรือควัน” เพราะฝุ่นมรณะมันหนาทึบจนแสบหู แสบตา แสบจมูก รถยนต์ในเมืองกรุงและปริมณฑลวิ่งบนถนน ทัศนวิสัยการมองเห็นแค่ระยะ 15 เมตร ต้องเปิดไฟกะพริบเป็นสัญญาณประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก เมืองที่มีมลพิษทางอากาศเลวร้าย ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่นั่นเทียบไม่ได้กับสุขภาพประชาชนที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าความเป็นความตายถึงจุดที่คนไทยตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการคืนอากาศบริสุทธิ์ให้ชีวิต ปัญหาฝุ่นควันพิษส่งผลต่อคะแนนนิยมทางการเมือง สะเทือนเสถียรภาพรัฐบาลเรื่องที่ชาวบ้านไม่ทน ไม่ยอมรับสภาพตามยถากรรมแบบที่เห็นปรากฏการณ์ก่อนหน้า ไม่เว้นแม้แต่รัฐบาลอำนาจพิเศษ ขึ้นป้ายเผด็จการท็อปบูต “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ยังโดนด่าเปิงฐานปล่อยประชาชน “สำลักฝุ่น”ผู้นำทหารเฒ่า 3 ป. สำลักเสียงด่าระเบิดเถิดเทิงมาแล้วนับประสาอะไรกับรัฐบาลผสมขบวนโหนอำนาจอนุรักษ์นิยม ภายใต้การนำของ “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังจามฟุดฟิดจากอาการภูมิแพ้ฝุ่นควันพิษ PM 2.5 สภาพการณ์ไม่ผิดจากที่ “นายกฯคนพ่อ” อย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในตำนาน คาดการณ์อย่างโคตรเซียนเชี่ยวกระแสการเมืองผวาลูกสาวสำลักฝุ่น ชาวบ้านพาลหงุดหงิดไปถึงเศรษฐกิจปากท้อง“นายกฯคนพ่อ” ต้องออกมาปะฉะดะ ฟาดปากกับ “กุมารเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาชน ที่ไล่บี้กดดัน “นายกฯอิ๊งค์” อย่าลอยตัวเหนือฝุ่น ขออากาศดีให้คนไทยก่อนโอกาสดีทางเศรษฐกิจ จองกฐินผู้นำ ล็อกขึ้นเขียงเชือดปมฝุ่น PM 2.5 ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจลำพังฝ่ายค้านก็เหนื่อย แต่ที่หนักกว่าก็ในจังหวะที่พรรคร่วมรัฐบาลฝุ่นเข้าตา ล่อกันนัวไม่สนฝ่ายเดียวกัน แบบที่ สส.อีสานเพื่อไทยถล่ม “เสี่ยขิง” นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ค่ายรวมไทยสร้างชาติ สั่งปิดโรงงานน้ำตาลห้ามรับซื้ออ้อยเผา ทำเกษตรกรขนอ้อยเผามาหีบต้องเดือดร้อนนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง ค่ายภูมิใจไทย ขัดคอโปรฯรถไฟฟ้า รถเมล์ฟรี ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ยี่ห้อเพื่อไทย เกาไม่ถูกที่คัน ทำให้เสียงบประมาณ 140 ล้านบาทของรัฐ ประโยชน์ไปตกที่เอกชนมากกว่าประชาชนคนดูทางบ้านงง ข้าราชการ ฝ่ายปฏิบัติสับสน ไม่ไหวหัวจะปวด.ทีมข่าวการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม