สัปดาห์นี้ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย จมอยู่ในเมฆหมอกฝุ่นพิษทั้งวันทั้งคืนจนคันตาแสบจมูกไปหมด ปริมาณฝุ่นใน กทม.หนาแน่นจนมีแต่สีแดงกับสีส้ม เป็นอันตรายต่อสุขภาพและระบบลมหายใจ โดย รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ ผู้ว่าฯ กทม. ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แม้จะมีคำสั่งห้ามรถบรรทุก รถควันดำเข้าเมือง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อฟัง เพราะ “ตำรวจจราจร” หายหัวไปไหนหมดก็ไม่รู้ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ที่ไม่ค่อยมีผลงานอะไร ได้แต่ออกมาน้อมรับคำด่าหน้าตาเฉย ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ฝุ่นให้เบาบางลงได้ และแก้ตัวว่ามีปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม คือการเผาไหม้ในพื้นที่อื่นและฝุ่นควันลอยเข้ามาใน กทม. ทั้งที่มีเวลาวางแผนป้องกันเป็นปีๆวันเสาร์ท่ามกลางฝุ่นพิษหนาแน่นที่ไม่สบายในวันนี้ เราไปคุยเรื่องฝุ่นพิษกันนะครับผมเขียนบทความช่วงบ่าย ขึ้นไปดูภาพบนตึกสูง ฝุ่นพิษยังครอบกรุงเทพมหานครไว้อย่างหนาทึบ ตั้งแต่ยอดตึกลงไปจนถึงพื้นดิน มีข่าวว่า นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ได้ฮอตไลน์สายด่วนมาจาก เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ที่นายกฯไปร่วมงานประชุม เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม สั่งการให้ “คณะรัฐมนตรี” และ “คณะทำงาน” ที่ร่วมประชุม มาตรการแก้ไขฝุ่นเมื่อวันพุธที่ 15 ม.ค. ร่วมกับนายกฯ เร่งแก้ไขปัญหาฝุ่นอย่างเร่งด่วนทันที และกำชับให้ กทม.ใช้ 9 มาตรการที่วางแผนไว้ และสั่งการให้ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้เผาป่า เผาตอซังข้าว ซังข้าวโพด และอ้อยทั่วประเทศ ตามที่ได้ประชุมวางแผนไว้รัฐมนตรีไทย และ ข้าราชการไทย นี่ก็แปลก ชอบทำงานเอาหน้า ไม่ละเว้นแม้ในยามที่ประเทศชาติเจอวิกฤติ ทั้งที่ประชุมวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว พอ นายกฯแพทองธาร บินไปประชุมที่เมืองดาวอส แม้ “ฝุ่นพิษ” จะรุนแรงขึ้นจน กทม.กลายเป็นพื้นที่สีแดงเกือบหมด รัฐมนตรีและข้าราชการที่ร่วมวางแผนแก้ไขกับนายกฯ แทนที่จะลงมือทำทันที ต้องรอให้นายกฯสั่งการจากต่างประเทศ ทีถ่ายรูปออกข่าวเห็นยืนเรียงแถวเป็นวอลเปเปอร์เต็มไปหมดความเป็นจริง การเผาป่า เผาซังข้าว ซังข้าวโพด เผาอ้อย เหล่านี้ ทุกกระทรวง ทุกจังหวัดก็มีข้อมูลอยู่แล้ว เพราะเผาในพื้นที่เดิมทุกปี แต่ไม่แก้ไขปรับปรุง ดาวเทียมของจิสด้า ก็สามารถตรวจจับจุดการเผาได้ทุกปี แต่ก็ไม่มีการแก้ไข เดี๋ยวนี้เขาว่าคนเผาอ้อยเก่งขึ้น มีการจ้างผู้เชี่ยวชาญคำนวณวงโคจรดาวเทียม พอดาวเทียมโคจรผ่านไปก็เผาทันที พอดาวเทียมโคจรกลับมาอีกรอบก็หยุดเผา ทำให้ดาวเทียมจับจุดเผาไม่ได้ความจริงการแก้ปัญหาเผาอ้อยก็ไม่ได้ยาก แค่ออกกฎหมายบังคับให้โรงงานน้ำตาลต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นผู้รับซื้ออ้อยเผาจากชาวไร่ ได้กำไรมากมายจากน้ำตาล ก็ควรคืนกำไรให้สังคมและประเทศชาติบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ได้อย่างเดียว วันก่อนเห็นข่าว โรงงานน้ำตาลกลุ่มมิตรผล ซึ่งมีโรงงานน้ำตาลในเครือ 23 แห่ง ได้รับคำชมจาก คุณใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ว่า กลุ่มมิตรผลรับซื้ออ้อยสดสะสมสูงถึง 94% และยังรับซื้อใบอ้อยจากเกษตรกรตันละ 900 บาท ทำให้ชาวไร่อ้อยที่ขายอ้อยให้กลุ่มมิตรผลมีรายได้ขึ้นและไม่มีการเผาอ้อยเลย ต่างจากบางโรงงานที่รู้เห็นเป็นใจให้เผาอ้อยเหตุผลอีกอย่างที่ หน่วยงานรัฐไม่ลงมือแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 อย่างจริงจัง เพราะมัวแต่รอ “กฎหมายอากาศสะอาด” ที่ยังค้างคาอยู่ที่สภาหลังยาวมาปีกว่าแล้ว ยังพิจารณาไม่เสร็จเสียที ไม่รู้มีอะไรฉุดไว้ ทั้งที่มีการเสนอถึง 7 ฉบับ รัฐบาลเพื่อไทยก็เสนอด้วย และสภาก็เห็นชอบเป็นเอกฉันท์ทั้ง 7 ฉบับ ให้เอาข้อดี 7 ฉบับมารวมกัน ถ้ารัฐบาลตั้งใจแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 จริง ก็สามารถเอามาตรการที่ดีในร่างกฎหมาย 7 ฉบับนี้ มาใช้แก้ปัญหาฝุ่นพิษได้ก่อนทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอกฎหมายผ่านสภา ก็มัวแต่ “รอกฎหมาย” อยู่นี่แหละ เลยแก้ปัญหาฝุ่นพิษไม่ได้เสียที มีแต่หนักขึ้นทุกปี.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม