ดูเหมือนจบแต่ยังไม่จบปัญหาที่ดินอัลไพน์แม้ว่ากระทรวงมหาดไทยโดยรองปลัดกระทรวงที่รับผิดชอบจะลงนามคำสั่งให้คืนกลับไปเป็นที่วัดเนื่องจากเป็นที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งเจ้าของเดิมยกให้วัดจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของกรมที่ดินที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย อย่างแรกก็ต้องแจ้งให้ผู้ถือครองที่ดินปัจจุบันได้ทราบแจ้งให้วัดทราบว่าที่ดินผืนนี้เป็นของวัดโดยถูกต้องชอบธรรมแล้วนะส่วนการเยียวยาก็ต้องฟ้องร้องกันเอาเองเบื้องต้นกรมที่ดินก็ต้องเตรียมเงินจำนวน 7.7 พันล้านบาท เพื่อรองรับ เนื่องจากมีการประเมินราคาแล้วเป็นจำนวนเท่านี้ก็มากพอสมควรประเด็นอยู่ที่เงินเยียวยาก้อนนี้ใครเป็นคนจ่าย เพราะถ้านำเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายก็จะเกิดปัญหา เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยจะเรียกว่าเป็น “ค่าโง่” ก็คงไม่ใช่...เพราะปัญหาของที่ดินผืนนี้ที่ไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ต้นเนื่องจากมีนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินการโดยร่วมมือกับนักธุรกิจฉ้อฉลนำที่ดินธรณีสงฆ์ไปเล่นแร่แปรธาตุส่วนหนึ่งคือสนามกอล์ฟอัลไพน์ตกไปอยู่ในมือของคนในตระกูล “ชินวัตร” ที่ถือหุ้นทั้งหมดในจำนวนนี้มีชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี 30% ด้วย แต่ได้โอนให้แม่ถือก่อนเข้ารับตำแหน่ง เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาคาบเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง ซึ่งเกี่ยวข้องกับตระกูล “ชิดชอบ” ที่ครอบครองบางส่วน ทำให้ทั้ง “เพื่อไทย”- “ภูมิใจไทย”ต่างก็ถือ “ของร้อน” อยู่ในมือ!ที่น่าสนใจก็คือสนามกอล์ฟอัลไพน์นั้นความจริงแล้วเป็นของ “ทักษิณ ชินวัตร” มากกว่า แต่ให้ลูก-เมีย “ถือหุ้น”ความเป็นมาของที่ดินผืนนี้เกี่ยวพันกับการเมืองมาตั้งแต่ต้นโดยเฉพาะสมัยที่ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” เป็นรองปลัดมหาดไทยได้ลงนามรับรองให้สามารถทำโฉนดได้ทั้งๆที่เป็นที่ธรณีสงฆ์ทำให้ถูกศาลสั่งจำคุก 2 ปี แต่คดีขาดอายุความจึงรอดคุกและได้กลับมาเป็นรัฐมนตรี เป็นการตอบแทนบุญคุณที่กล้าลงนามทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูกที่สำคัญมีนักการเมืองหลายคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ประเด็นที่น่าสนใจก็คือเมื่อที่ดินผืนนี้ต้องส่งคืนวัด ทำไม “ทักษิณ” ไม่โวยวายไม่คัดค้านแต่กลับบอกว่าจบแล้วก็ดี เพราะเป็นเรื่อง “น่ารำคาญ”ที่มีอารมณ์แบบนี้ก็เพราะเหตุ 2 ประการ1.ทำให้ลูกสาวซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีพ้นจากข้อครหาที่ถือหุ้นในที่ดินที่ไม่ถูกต้อง เมื่อคืนเจ้าของเดิมแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย2.สามารถเรียกร้องเงินเยียวยาได้ซึ่งเรื่องนี้ “ทักษิณ” บอกว่าถ้าหากทำถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่มีปัญหา รวมถึงเรื่องอื่นๆอย่างที่ดินเขากระโดงก็ต้องทำให้เหมือนกันพูดง่ายๆว่าได้ทุกอย่างครบตามใจปรารถนา!ปัญหานี้จึงต้องตกไปอยู่ในความรับผิดชอบของกรมที่ดินว่าจะหาเงินจำนวนมากนี้มาจากไหนเพราะมีจำนวนสูงหากจะใช้งบประมาณของรัฐก็น่าจะเกิดปัญหาเพราะเป็นเงินภาษีของประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องไปฟ้องร้องเพื่อให้นักการเมือง ข้าราชการและนักธุรกิจที่ร่วมกันกระทำผิดชดใช้เงินก้อนโตนี้แทนประเด็นมันอยู่ที่ว่าจะไปไล่บี้ได้หรือไม่ เพราะเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้วอีกทั้งพวกเขาคงสู้คดีเต็มที่แล้วจะหาพยานหลักฐานที่ไหนมายืนยันลงท้ายก็กลายเป็นประเด็นการเมืองที่ต้องต่อสู้กันต่อไป!"สายล่อฟ้า"คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม