ในหนังสือ “ชื่อ แซ่ และระบบตระกูลแซ่” (สำนักพิมพ์ มติชน พ.ศ.2559) อาจารย์ถาวร สิกขโกศล ไม่เพียงให้ความรู้ลุ่มลึกเรื่องอัตลักษณ์สำคัญเบื้องต้นของคนจีนเท่านั้น ยังเผื่อแผ่มาช่วยคลี่ปมปริศนา เรื่องนาค ในภาษาไทยชาวยุทธจักรในนิยายกำลังภายในมีฉายา ฉายาที่นักอ่านไทยคุ้นเคยใน “มังกรหยก” ทรชนบูรพา (อึ้งเซียะซือ) ยาจกอุดร (อั้งชิดกง) ราชันทักษิณ (ตวนตี้เฮง) และเฒ่าทารก (จิวแป๊ะทง)นิยายเรื่องไซอิ๋ว ตัวละครสำคัญมีชื่อและคำเรียกขานต่างๆ น่าสนใจไม่แพ้กัน ยกตัวอย่าง “เห้งเจีย”นักอ่านรู้ๆกัน นี่คือลิงกายสิทธิ์ ที่เกิดจากศิลา เดิมทีไม่มีชื่อ เมื่อได้เป็นจ่าฝูง พวกบริวารเรียกว่า มุ้ยเกาอ๋อง คำเรียกที่มีความหมายว่า พญาลิงงาม มีลักษณะเป็นคำเรียกยกย่องในฐานะประมุขต่อมามุ้ยเกาอ๋อง ไปฝากตัวเป็นศิษย์ โผเถโจซือ พระสุภูติเถระอาจารย์ ตั้งชื่อแซ่ให้ใหม่ ซุนหงอคง มีความหมาย ลูกชายของลูกชาย มีนัยทางโลกว่า กลับคืนสู่จิตทารกอันบริสุทธิ์ แต่นัยทางธรรม รู้แจ้งในศูนยตาด้วยจิตทารกร่ำเรียนกับพระอาจารย์จนเจนจบ มีฤทธิ์เดชมาก ซุนหงอคงออกจากสำนัก ไปสำแดงเดชบนสวรรค์ จนเง็กเซียงฮ่องเต้ ตั้งให้เป็นนายกองม้า แต่ซุนหงอคงไม่พอใจ หาว่าเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ตำแหน่งต่ำต้อยจึงตั้งฉายาให้ตัวเองเป็น ซีเทียนไต้เซีย แปลว่า มหาราชะ ผู้เสมอพระเป็นเจ้าแต่ตอนมาเป็นศิษย์พระถังซำจั๋ง พระอาจารย์ก็ตั้งฉายาให้ใหม่ว่า เห้งเจียชื่อเห้งเจีย ในมโนของคนไทย น่าจะมีความหมาย ยิ่งใหญ่โลดโผน...ไปสักอย่าง แต่ความจริง ถ้าเอาคำเห้งเจีย ไปเทียบกับอาจาริน ภาษาสันสกฤต มีความหมายง่ายๆว่า ผู้มีอาจาระปฏิบัติธรรมซึ่งก็ตรงกับความหมายในสังคมพุทธจีน เรียก เห้งเจีย ชายผู้รับใช้ช่วยงานอยู่ในวัดแต่ไม่ใช่เด็กวัด มีความมายตรงกับ “นาค” ในสังคมพุทธไทยแปลตามรูปศัพท์ว่า ผู้ไม่ไปสู่ความชั่ว ผู้ถือศีลห้าอาจารย์ถาวร ให้ความรู้เรื่องชื่อ เห้งเจีย พลิกความคาดหมายของผู้ไม่รู้ไทยแบบผมแล้ว ยังให้ความรู้เชื่อมโยง ด้วยการอธิบายความหมายและที่มาของคำเรียก “นาค”สังคมพุทธไทย อธิบายเรื่องนาคกันฟั่นเฝือว่า เคยมีนาคจำแลงกายเป็นคนมาบวช พอหลับก็คืนร่างเป็นนาค ต้องลาสิกขา แต่ขอฝากชื่อตัวไว้ให้คนเรียกในช่วงเตรียมบวช“เรื่องเล่านี้ ไม่มีหลักฐานในคัมภีร์พุทธศาสนา ไม่ได้มาจากการบวชของคนเผ่านาค เผ่าหนึ่งในภูมิภาคนี้”ท่านวัดถนน ภิกษุนักปราชญ์ ผู้แต่งร่ายยาวเวสสันดรชาดก กัณฑ์ทานกัณฑ์ อธิบายไว้ในบททำขวัญนาคของท่านเองว่า ในพิธีบวชนาค มีการซ้อมซักถามชื่อพระอุปัชฌาย์ และชื่อผู้บวช ตามธรรมเนียมแล้วจะไม่ใช้ชื่อตัวผู้บวช ต้องใช้ฉายาที่อุปัชฌาย์ตั้งให้สมัยก่อนคนไปอยู่วัดเตรียมตัวบวชกันเป็นแรมเดือน บางทีก็ยังไม่รู้ว่าจะนิมนต์พระเถระองค์ใดมาเป็นอุปัชฌาย์ จึงไม่รู้ทั้งฉายาอุปัชฌาย์ และฉายาผู้บวชในการซ้อมคำขอบวช จึงใช้คำ “ติสโส” เป็นฉายาลำลองอุปัชฌาย์ และใช้คำ “นาโค” ซึ่งแปลจากคำว่า “นาค” เป็นฉายาของผู้ขอบวช เหมือนกันทุกคนใช้ๆกันจนคำว่า “นาค” กลายเป็นคำเรียกผู้มาอยู่วัดเพื่อเตรียมตัวบวชไปโดยปริยายการซ้อมคำขอบวช ก็เรียก “ขานนาค” เพื่อเตรียมบวช “นาค” นับแต่นั้นเป็นต้นมาผมซาบซึ้งความรู้ของอาจารย์ถาวร สิกขโกศล มาก ขอใช้ความรู้ข้อนี้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับพรรคพวกที่เชื่อนักเชื่อหนา ว่า นาค หรือพญานาค มีเลือดมีเนื้อมีตัวมีตนจริงๆแต่ส่วนเรื่องพญานาค ที่ปั้นกันไว้มากมายตามวัดริมแม่น้ำโขงนั้น ผมก็ไปไหว้กับเขามาแล้วเหมือนกัน แต่ไหว้ด้วยความซาบซึ้งในคุณูปการ ที่ท่านเรียกผู้คนมาเข้าวัดได้มากมายเท่านั้นเอง.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม