“TAF”...“thaiarmedforce.com” เฟซบุ๊กเพจแวดวงการทหารสายเหยี่ยว รายงานประเด็นร้อนชวนให้ติดตาม กรณีการเสนอกฎหมายยกเลิก “กอ.รมน.” หรือ “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” โดยพรรคก้าวไกล...“ทีมข่าวสกู๊ปหน้า 1” ขอตัดตอนนำเสนอพอสังเขปในอีกมุมหนึ่งของสังคมก็มองว่า การมีอยู่ของ “กอ.รมน.” คือกลไกหนึ่งในการแก้ไขปัญหา “ความมั่นคง” ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าจะยุบกันไปง่ายๆ และก็มีหลายปัญหาที่ถูกแก้โดย กอ.รมน.พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในราช อาณาจักร ย้ำว่า ทำไม กอ.รมน.จึงเป็นกลไกที่สำคัญ กรณียาเสพติดนี้เป็นตัวอย่างที่เหมาะจะชี้ให้เห็นว่า กลไกของ กอ.รมน. มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง เพราะ กอ.รมน.เป็นกลไกที่สามารถรวบรวมทรัพยากรต่างๆทั้งกำลังคน เครื่องมือ มาช่วยกันทำงานตอบสนองงานด้านความมั่นคงได้ เพราะปัญหาที่มีความซับซ้อนหน่วยงานแยกกันทำเดี่ยวๆนั้นอาจเกิดความล่าช้า โดยเฉพาะบางปัญหาต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานเข้ามาร่วมกัน เมื่อมี กอ.รมน. เป็นตัวกลางการบูรณาการ ขับเคลื่อน และประสานสนับสนุนก็...สามารถร่วมกันแก้ไขปัญหา “ความมั่นคง” ได้มีประสิทธิภาพกว่ามาก “กอ.รมน.” เป็นเพียงหน่วยประสานงานบูรณาการและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในเท่านั้น ไม่มีอำนาจสั่งการใคร...ทำหน้าที่คล้ายฝ่ายอำนวยการให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเพื่อประสานงานการแก้ปัญหาต่างๆตามคำสั่งพุ่งเป้าเหตุผลสำคัญฝ่ายสนับสนุนการยกเลิก กอ.รมน.เป็นองค์กรรัฐซ้อนรัฐ เป็นเครื่องมือเพื่อเล่นงานกันทางการเมือง ใช้งบประมาณมหาศาลแต่ทำงานซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น?“กอ.รมน.กลายเป็นทิศทางหลักในการแก้ปัญหาชาติ ซึ่งทำให้กองทัพมีอำนาจเหนือพลเรือนและซ้ำซ้อนกับหน่วยงานราชการเดิม...ความมั่นคงต้องไม่ผูกขาดอยู่กับกองทัพเท่านั้น แต่พลเรือนต้องมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความมั่นคงของประเทศ”รอมฎอน ปันจอร์ สส.พรรคก้าวไกล บอกอีกว่า เป้าหมายของชุดกฎหมายปฏิรูปกองทัพคือ การปักหลักหลักการประชาธิปไตยให้ลงหลักปักฐานในประเทศนี้ เพราะบทบาทของกองทัพที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่าทั้งการรัฐประหารและการแทรกแซงกิจการของพลเรือนหรือจัดการความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งควรจะเป็นพื้นที่ของพลเรือนหรือสถาบันทางการเมืองปกติ แต่บทบาทของกองทัพหรือ กอ.รมน.ที่ทำภารกิจรักษาความมั่นคงภายในนั้นรังแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง สิ่งที่ก้าวไกลเสนอคือการโต้แย้งกลับพยายามจัดที่ทางที่เหมาะสมของกองทัพในระบบการเมืองไทย นี่คือที่มาและรากฐานทางความคิดรอมฎอน...ทำงานติดตามความขัดแย้งและพัฒนาการในกระบวนการสันติภาพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายปีที่ผ่านมาได้ทำงานกับตัวแสดงที่หลากหลาย รวมทั้ง กอ.รมน., ศอ.บต., รวมถึงฝ่ายผู้เห็นต่างหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดน เห็นว่า...มีพัฒนาการความขัดแย้ง การคลี่คลายความขัดแย้ง และอุปสรรค“ถ้าจัดการได้ดี เราสามารถยุติความรุนแรงอย่างถาวรหรืออยู่กับความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ที่ทุกฝ่ายพร้อมจะวางอาวุธมาสู่พื้นที่ทาง การเมืองที่เราไม่ต้องสังหารผู้คน”“ความรุนแรง”...มันทำลายพลเรือน ไม่ว่าจะ “พุทธ” หรือ “มุสลิม” ตลอดมา“เท่าที่ทราบ การยุบ กอ.รมน.ไม่ได้เป็นข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเลยในทุกขบวนการ เหตุผลของการเสนอยุบมาจากบรรยากาศการเมืองของไทยและเสียงเรียกร้องของประชาชนมากกว่า กลับกันกลุ่มแบ่งแยกดินแดนก็มีความแตกต่างกัน...ยังมีทั้งกลุ่มที่เห็นว่าควรเจรจากับรัฐไทย”หรือ...กลุ่มที่เห็นว่าควรคงกำลังติดอาวุธไว้ซึ่งอยู่คนละขั้วกัน แต่กลุ่มเหล่านี้กลับเป็นพันธมิตรกัน ถ้ารัฐไทยจะพยายามเสนอการปกครองท้องถิ่นหรือการกระจายอำนาจ“ถ้ารัฐไทยเปลี่ยน ทิศทางใหม่ๆที่เปลี่ยนไปจะส่งสัญญาณขนานใหญ่ให้ฝ่ายขบวนการต้องปรับตัว เพราะเขายังอยู่ที่เดิมเขาจะสูญเสียความชอบธรรมและประชาชนจะไม่อยู่กับเขา นี่คือการต่อสู้ทางการเมืองในอีกระนาบหนึ่ง การยุบ กอ.รมน.อาจเป็นการส่งสัญญาณแรงๆในการหาทางออกในภาคใต้ด้วย”คำถามสำคัญมีว่า “กอ.รมน.” ก็มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้ผ่าน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นและเป็นแกนหลักหนึ่งในการแก้ปัญหา ดังนั้น กอ.รมน.เป็นกลไกสำคัญของเรื่องนี้ การยุบ กอ.รมน.จะช่วยในการสร้างสันติภาพในสามจังหวัดชายแดนใต้ได้จริงหรือ?รอมฎอน มองว่า ที่ผ่านมาบทบาทของกองทัพมีอยู่สูงมากและกำหนด ทิศทางการแก้ปัญหา ซึ่งถ้าให้เป็นทิศทางหลักในการแก้ปัญหาจะยิ่งสร้างอุปสรรคในการเข้าถึงฉันทามติที่เราแสวงหาร่วมกัน ยอมรับว่ามาตรการความมั่นคง การรักษาความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินนั้นยังสำคัญ แต่เราก็ยังมีอีกหลายหน่วยงานอย่างตำรวจ หรือ อ.ส. ทหาร...ไม่สามารถจะผูกขาดทุกอย่างเอาไว้กับตัวได้ ความปลอดภัยของประชาชนแม้จะเป็นเป้าหมายสำคัญ แต่ก็มีหลายมิติ ซึ่งความรุนแรงก็มาจากทุกฝ่าย “การสร้างสันติภาพต้องการการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย รวมถึงกองกำลัง ติดอาวุธของทุกฝ่ายด้วย นั่นคือเราต้องการความร่วมมือของกองทัพมากพอๆกับฝ่ายการทหารของ BRN เพราะสุดท้ายจะลดความรุนแรงหรือยุติความเป็นปรปักษ์ลงนั้น เราต้องทำงานร่วมกัน”แต่มุมมองแบบ กอ.รมน. หรือ คสช.กลายเป็นมุมมองหลักในการคลี่คลายความขัดแย้งนั้นเป็นปัญหา ต้องจำกัดบทบาทของกองทัพและกองกำลังติดอาวุธให้อยู่ในพื้นที่ที่จำเป็นและจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น“เราไม่ได้บอกว่า กอ.รมน.ไม่ดีหรือเลวร้าย แต่เรากำลังตั้งคำถามว่าตกลงแล้วที่ทางที่เหมาะสมของกองทัพจะอยู่ตรงไหนในระบบการเมืองที่เป็น ประชาธิปไตย เรากำลังพูดถึงทิศทางของประเทศแบบใหม่ สถาปัตยกรรมของประเทศแบบใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นเราต้องเสนอข้อถกเถียงในการยุบ กอ.รมน....ไม่เช่นนั้นความมั่นคงจะขยายไปยังพื้นที่ต่างๆที่ไม่ควรจะไปถึง”แม้ว่าหลายคนจะเห็นด้วยกับการ...“ยุบ” หลายคนจะเห็นว่าควร...“เก็บ” กอ.รมน.เอาไว้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่เสนอทางเลือกอื่น เช่น ในกรณีของ “TAF” ที่เสนอให้เปลี่ยน กอ.รมน.เป็นองค์กรในรูปแบบที่คล้ายกับกระทรวงความมั่นคงของมาตุภูมิ (DHS) เพื่อตัด “ความมั่นคงภายใน” ออกจาก “กองทัพ” เพราะกองทัพต้องดูแลภัยคุกคามจากนอกประเทศเท่านั้น การดำเนินการทางการเมืองและสังคมซึ่งอ้างว่าคือความมั่นคงภายในนั้น ควรเป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น...สิ่งนี้จะทำให้กองทัพคล่องตัวมากขึ้น“เราไม่ควรปล่อยให้ กอ.รมน.ทำงานแบบนี้ต่อไปอีกแล้ว...ที่ผ่านมาการตีความทุกอย่างเป็นความมั่นคงภายใน เช่น ขนมอาลัวพระเครื่อง กอ.รมน. ก็ยกทีมไปกดดัน คิวรถตู้ภูเก็ตมีปัญหา กอ.รมน.ก็ไปทำตัวเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย แม้แต่เซ็กซ์ทอย กอ.รมน.ก็นำกำลังพลไปสร้างผลงาน ฯลฯ”สะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งได้ว่า กอ.รมน.ไม่มีงานทำเลยต้องพยายามหางานเพื่อจะได้มีบทบาท นี่คือผลของการตีความคำว่าความมั่นคงให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ตัวเองมีบทบาทให้กว้างที่สุด ซึ่งจะนำมาสู่การของบประมาณจำนวนมากไปดำเนินการตามวาระทางการเมืองของกองทัพเองสุดท้ายก็คือ...ต้องร่วมกันนิยามก่อนว่า “ความมั่นคง” คืออะไร มีกี่ด้าน และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความมั่นคงด้านไหนบ้าง เพราะความมั่นคงไม่ใช่เรื่องของกองทัพแต่เพียงอย่างเดียว.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม