ย้อนหลังกลับเมื่อหลายทศวรรษก่อน พรรคการเมืองชูคำขวัญว่า “ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน” หลายพรรคบรรยายสภาพชีวิตของชาวนาว่า “ทำนาปรังได้แต่ซังกับหนี้ ทำนาปีได้แต่หนี้กับซัง” เป็นผลจากภัยธรรมชาติ เช่น ฝนแล้งหรือนํ้าท่วม แต่ความเดือนร้อนที่ชาวนาโคราชเผชิญอยู่ขณะนี้มาจากคนทำชาวนากว่า 150 คน จาก 3 ตำบล ของอำเภอด่านขุนทด ไปร่วมชุมนุมกันที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เพื่อร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากทางราชการ เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส จากการทำเหมืองโปแตชของบริษัทเอกชน ที่ได้ประทานบัตร 25 ปี ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2583เหตุที่ชาวบ้าน 3 ตำบลของอำเภอด่านขุนทดเดือดร้อน เพราะโรงงานปล่อยนํ้าเสียลงสู่ที่นาและที่ไร่ของชาวบ้านกว่า 9,000 ไร่ ขอยกตัวอย่างชาวบ้านคนหนึ่ง มีที่ทำการเกษตร 23 ไร่ แบ่งเป็นทำนา 13 ไร่ ปลูกอ้อย 10 ไร่ ลงทุนไปกว่า 90,000 บาท ผลที่ได้คือข้าวตายเกลี้ยง เสียหาย 100%ชาวบ้านเคยชุมนุมเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากทางการหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล คราวนี้จะร้องถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เหตุการณ์ที่ด่านขุนทด กลายเป็นประวัติศาสตร์ซํ้ารอย เพราะเคยเกิดมาแล้ว เมื่อหลายทศวรรษก่อน ในพื้นที่อำเภอโนนสูง ชาวบ้านเดือดร้อน เพราะมีนายทุนทำนาเกลือเหมืองเกลือปล่อยนํ้าเกลือให้ไหลทะลัก ลงสู่ที่นาของชาวบ้าน จนไม่สามารถทำนาได้อีกต่อไป อะไรจะเป็นทุกข์แสนสาหัส ยิ่งกว่าทุกข์ที่ชาวนาไม่มีนาทำกิน ดูเหมือนว่าปัญหาที่โนนสูงได้รับการแก้ไขไปแล้ว แต่เกิดปัญหาใหม่ที่ด่านขุนทด และชาวนายังถูกซํ้าเติมจากปัญหาความยากจน และความเหลื่อมลํ้าผลการศึกษาของสำนักงานนโยบาย และยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2554 ถึง 2564 สัดส่วนของคนจนไม่ได้ลดลง ยังคงตัวอยู่ที่ 6.8% แต่ครอบครัวของเกษตรกรถึง 11% มีรายได้อยู่ใต้เส้นความยากจน ทำให้สังคมไทยมีความเหลื่อมลํ้าสูงกว่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ความยากจนและความเหลื่อมลํ้าที่พูดถึง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลก่อน ที่เคยประกาศจะขจัดความยากจนให้สิ้นซาก แต่ล้มเหลว กลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงรัฐบาลใหม่ จะขจัดความยากจนได้หรือไม่ ส่วนความเหลื่อมลํ้าไม่ต้องถึงกับให้สิ้นไป ขอแต่เพียงลดความเหลื่อมลํ้าให้คนไทยอยู่ร่วมกันโดยสันติภายใต้ประชาธิปไตยที่มั่นคง.