ถ้าจะถามว่าเสียงบ่นจากประชาชนทุกหมู่เหล่าที่อื้ออึงที่สุด และระอุที่สุดในสื่อสังคมออนไลน์ทั่วประเทศไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านนี้ คือเรื่องใด? คำตอบเห็นทีจะไม่พ้นเรื่อง “ค่าไฟฟ้า” ที่ประชาชนต้องจ่ายในเดือนที่ผ่านมา ที่แพงขึ้นอย่างสุดโหดบางคนบ่นแถมสบถไปด้วยว่า บ้านฉันเคยใช้อยู่เดือนละ 2 พันบาท จู่ๆก็กลายเป็น 4 พันอีกบ้านบอกว่าของฉันก็ 2 พันบาท แต่ขึ้นเป็น 6 พัน หรือ 3 เท่าตัว...อะไรกันยะ!สำหรับผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก รวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ๆเล็กๆ ต่างก็บ่นอู้พอๆกัน เป็นหัวข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับอ่านข่าวและเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว ผมก็ได้แต่เห็นใจรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งมี “ลุงตู่” เป็นหัวหน้าทีมลำพังการอยู่นานของท่านเกิน 8 ปี ก็ทำให้ประชาชนเบื่ออยู่แล้ว แม้โดยข้อเท็จจริงจะทำโน่นทำนี่ที่สำคัญไว้เยอะ โดยเฉพาะการแก้ปัญหา “โควิด–19” ทั้งในแง่ของ “โรคภัย” และ “เศรษฐกิจ” ทำไว้อยู่ในเกณฑ์ดีระดับได้รับคำชมจากทั้ง WHO และสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆแต่คนเราพอเบื่อขึ้นมาแล้วอะไรๆก็ห้ามยาก และมักจะมองข้ามเรื่องดีๆไปเสียหมด หยิบมาพูดถึงแต่เรื่องร้ายๆการสำรวจประชามติหรือ “โพล” ของสำนักต่างๆ จึงออกมาในทางที่ “ลุงตู่” ได้คะแนนตามหลังคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยทำงาน และไม่แน่ใจว่าจะทำงานเป็นหรือไม่ ถ้าได้เป็นนายกฯไปหลายๆช่วงตัวเมื่อมาเจอเรื่องค่าไฟฟ้าแพง กระหน่ำซ้ำเข้าให้อีก เช่นนี้จะกลายเป็น “ฟาง” เส้นสุดท้ายบนหลังอูฐ หรือไม่คงต้องดูกันต่อไปถามว่าทำไมจู่ๆบิลค่าไฟฟ้าจึงกระฉูดขึ้น คำตอบเท่าที่การไฟฟ้าทั้งฝ่ายผลิต และนครหลวงพยายามชี้แจงหลายครั้งก็คือ เพราะช่วงนี้เข้าสู่ฤดูร้อนมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในทุกภาคส่วนของประเทศ เพราะมีการเปิดแอร์เป็นส่วนใหญ่เปิดมากใช้มากสู้กับความร้อนมาก ค่าไฟฟ้าก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปตามค่า FT หรืออัตราผันแปรที่คิดมาจากต้นทุนของการผลิตไฟฟ้าการผลิตไฟฟ้าบ้านเรามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ผลิตจากพลังน้ำที่ต้นทุนถูก เพราะส่วนใหญ่แล้วจะผลิตจากการใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเราผลิตก๊าซได้เอง 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ และต้องนำเข้าหรือซื้อจากต่างประเทศถึง 40 เปอร์เซ็นต์หลังเจอสงครามรัสเซีย ยูเครน ราคาพลังงานทุกประเภทขึ้นสูงแบบกระฉูดอย่างที่เราทราบ รวมทั้งค่าก๊าซธรรมชาติที่เรานำเข้ามาผลิตไฟฟ้าด้วยสำหรับก๊าซที่เราผลิตได้เองในประเทศที่กำลังจะหมดนั้น เราก็ต้องซื้อในราคาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน จะเอามาผลิตไฟฟ้าฟรีๆได้อย่างไรปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเราตรึงค่า FT มานาน ให้คงอยู่ในอัตราเฉลี่ยหน่วยละ 24.27 สตางค์มาตลอดช่วงพลังงานแพง จนแทบไม่ไหวต้องมาปรับเป็นหน่วยละ 93.4 สตางค์ เมื่อเดือนกันยายน-ธันวาคมที่แล้ว หรือเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 4 เท่าตอนเพิ่มใหม่ๆยังเป็นหน้าหนาวอยู่ หรือไม่ร้อนมากนัก การใช้ไฟของประชาชนยังไม่เกินการทำงานของค่า FT ผู้คนจึงรู้สึกเฉยๆ เพราะค่าไฟยังเพิ่มไม่มากดังนั้น พอถึงเดือนมีนาคม ซึ่งเริ่มร้อน เริ่มมีการใช้แอร์ ใช้ไฟฟ้ากันมากขึ้นทำให้เกินเกณฑ์ต้องจ่ายค่า FT ในอัตราใหม่ ที่เพิ่มโดยเฉลี่ย 4 เท่าดังกล่าว จึงร้องโอ๊กไปตามๆกันด้วยประการฉะนี้ตามแผนเดิมเขาจะยังปรับอีกระลอกด้วยซ้ำในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคมนี้ และตามที่เคยกล่าวไว้นั้น จะขยับเป็น 98.27 สตางค์ต่อหน่วย (โดยไม่รวม VAT) โน่นเลยฟังจากคำอธิบายของการไฟฟ้าทั้งหลายถึงสาเหตุของการขึ้นค่า FT ก็ดูมีเหตุมีผล แต่เมื่อฟังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิจารณ์หรือกูรูต่างๆ ก็ได้ความคิดบางอย่างเพิ่มขึ้น...เช่น บางท่านบอกว่าอาจลดค่า FT ได้อีก ถ้าเราจะลดปริมาณสำรองไฟฟ้าทั้งหมดลงไปหรือถ้าฟังกูรูโซเชียลที่กูรู้ทุกเรื่อง ก็มีประเด็นน่าคิด เมื่อบอกว่า เพราะการไฟฟ้านี่แหละที่ไปเซ็นสัญญากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนบริษัทหนึ่งไว้ ในราคาแพงตั้งแต่สมัยรัฐบาลก่อนลุงตู่ 1 รัฐบาล ส่งผลให้ลุงตู่ต้องมารับกรรมในปัจจุบัน ซึ่งก็ช่วยไม่ได้เพราะลุงตู่เคยลงไปแก้ปัญหาด้วยตัวเองด้วยซํ้า แต่กลับไม่แก้อะไรเลยผมก็ขอเสนอความคิด 2 ด้าน...เอาไว้ให้ท่านผู้อ่านตัดสินใจกันเองก็แล้วกันครับ และไม่ขัดข้องครับ ถ้าจะพิจารณาไปบ่นไป เพราะ ต้องยอมรับว่า ค่าไฟฟ้างวดนี้ “มหาโหด” จริงๆ.“ซูม”