“ธนกิจการเมือง” หรือ “ธุรกิจการเมือง” กลับมาเป็นประเด็นปัญหาสำหรับการเมืองไทยอีกครั้ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เตือนว่าการประมูลตัว ส.ส. หรือผู้สมัคร ส.ส. เป็นธนกิจการเมืองเป็นที่มาของการถอนทุน ทำลายประเทศ ทำลายประชาธิปไตย อย่าเลือกคนที่ถูกประมูลวันเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยทำให้วงการเมืองตะลึง ด้วยการประกาศว่าในวันที่ 16 ธันวาคมนี้จะเปิดตัว 37 ส.ส. จาก 9 พรรค ที่จะลาออกจากพรรคเดิม ส่วนใหญ่มาจากพรรคพลังประชารัฐ 14 คน พรรคเพื่อไทย 10 คน พรรคก้าวไกล 5 คน จะร่วมกันประกาศหาเสียงให้พรรค ภท. เพื่อสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ซูเปอร์โพลเปิดเผยผลการสำรวจความเห็นจากทั่วประเทศ พบว่าส่วนใหญ่ระบุชื่อนายอนุทินมีโอกาสเป็นรัฐบาลถึง 47.8% ตามด้วยแพทองธาร ชินวัตร 44.9% นายจุรินทร์ 44.4% พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 17.2% นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 14.5% ต้องถือว่าเกินความคาดหมายเพราะผลของโพลอื่นๆที่ผ่านมา พรรค ภท. และนายอนุทินไม่เคยได้คะแนน นิยมในอันดับต้นๆ ผลการสำรวจครั้งล่าสุดของนิด้าโพล ไม่ได้ถามว่าใครจะได้เป็นนายกฯ แต่ถามว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล ผลก็คือพรรคเพื่อไทยมาเป็นที่ 1 ด้วยคะแนน 32.44% ตามด้วยพรรคก้าวไกล 11.00% พรรคพลังประชารัฐ 10.76% พรรครวมไทยสร้างชาติ 5.73% พรรค ภท. 4.96% ประชาธิปัตย์ 4.58%ในอดีตคำว่า “ธนกิจการเมือง” ดูเหมือนนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะเคยเรียกว่า “ธุรกิจการเมือง” หมายถึงนักการเมืองที่มาจากนักธุรกิจ มือขวาเล่นการเมือง มือซ้ายทำธุรกิจ เชื่อว่าอานุภาพของเงิน คือทางลัดสู่การมีอำนาจการเมืองนักธุรกิจการเมืองเชื่อว่า อำนาจคือหนทางสู่ความรํ่ารวยมั่งคั่ง จึงใช้อำนาจการเมืองถอนทุน ก่อการทุจริตทางการเมืองด้วยการได้มาซึ่งสัมปทานและการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐเป็นผลของการเป็น “เจ้าบุญทุ่ม” ทุ่มเงินซื้อ ส.ส.หรือผู้สมัคร ส.ส. ซื้อหัวคะแนน ซื้อเสียงประชาชนด้วยการมอมเมา “เงินไม่มากาไม่เป็น”กลายเป็นการทำลายประเทศ ทำลายประชาธิปไตย นักธุรกิจการเมืองถือว่าการเมืองคือการลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ จึงต้องถอนทุนบวกกำไรและดอกเบี้ยเพื่อสะสมทุนไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า เป็นวงจรอุบาทว์การทุจริตทางการเมือง และเป็นข้ออ้างของนักรัฐประหารในการยึดอำนาจต่อเนื่อง.