พิษโควิด-19 ระบาดเข้าสู่ปีที่สาม “กำลังบีบเด็กและวัยรุ่นไทย” ต้องเผชิญความเครียดกังวลรายได้ครอบครัว การเรียน การศึกษา และการจ้างงานในอนาคต จนนำไปสู่เหตุคิดฆ่าตัวตายเพิ่มสูงมากขึ้น ตามรายงาน “การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบและบริการสนับสนุนทางจิตใจ และจิตสังคมสำหรับเด็กและวัยรุ่นในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ฉบับประเทศไทย ปี 2565” ที่จัดทำโดยยูนิเซฟ กรมสุขภาพจิต สถาบันวิจัยประชากรและสังคม สถาบันเบอร์เน็ต ประเทศออสเตรเลีย ระบุว่า...วัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี 1 ใน 7 คน เด็กอายุ 5-9 ปี 1 ใน 14 คน มีความผิดปกติทางจิตประสาทและอารมณ์ ปัจจุบันการฆ่าตัวตาย คือสาเหตุเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย โดยการสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนทั่วโลกในส่วนของประเทศไทยเมื่อปี 2564 (2021 Global School-based Student Health Survey) พบว่าร้อยละ 17.6 ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดจะฆ่าตัวตาย ในเรื่องนี้ จักรพันธ์ จันทร์ชาตรี ผู้ประสานงานโครงการสุขภาพ และการมีส่วนร่วมวัยรุ่น องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย บอกว่าการฆ่าตัวตายของคนไทยน่าเป็นห่วงมาตั้งแต่ปี 2563 นับแต่เริ่มการระบาดโควิด-19 ส่งผลให้อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จทั้งประเทศพุ่งขึ้นถึง 7.8 ต่อแสนประชากร แล้วภูมิภาคที่มีการฆ่าตัวตายสูงที่สุด คือภาคเหนือ 10.9 ต่อแสนประชากร เช่น จ.ตาก แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ รองลงมาคือ ภาคอีสาน 8.5 ต่อแสนประชากร สาเหตุปัจจัยส่วนหนึ่งมาจาก “การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตค่อนข้างยาก” ด้วยภาคเหนือและภาคอีสานนั้น “นักจิตวิทยา 1 คนดูแลประชากรมากกว่า กทม. 5-6 เท่า” ในส่วน “กทม.” แม้มีนักจิตวิทยาพร้อมแต่ “ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากลับเข้าถึงบริการต่ำ” เพราะด้วยความหนาแน่นของผู้ป่วยสูงกว่าพื้นที่อื่นนั้นสิ่งนี้เป็นลูกโซ่กระทบมาถึง “เด็กและวัยรุ่นไทย” ที่กำลังเผชิญภาวะกดดันด้านจิตใจอันเกิดจากความรุนแรง ถูกกลั่นแกล้ง ความโดดเดี่ยว ความ ไม่แน่นอนของชีวิต โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจจากโรคระบาดนี้กลายเป็นว่า “สุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นไทยถูกละเลยมองข้ามปกปิดไว้” เพราะมักถูกตีตราเป็นเรื่องน่าอาย “ทำให้ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันในสังคม” ส่งผลต่อหน่วยงานภาครัฐให้ความสำคัญน้อยในการคัดกรองส่งเสริมแก่เด็กและวัยรุ่น ให้ได้รับการสนับสนุนการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตที่จำเป็นอย่างเหมาะสมเช่นนั้นผลที่ตามมาคือ “เด็กและวัยรุ่นอายุ 13-19 ปี” มีความผิดปกติทางจิตประสาทและอารมณ์ นำไปสู่ “การคิดฆ่าตัวตายสูงขึ้น” เป็นสาเหตุหลักถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆการเสียชีวิตของวัยรุ่นไทย จริงๆแล้ว “เด็กและวัยรุ่นมีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงมาตั้งแต่ปี 2562” เพราะมีข้อมูลผลการศึกษาช่วงอายุ 10-29 ปี ฆ่าตัวตายสำเร็จราว 800 คน ทำให้ในปี 2563 “ยูนิเซฟ” ตระหนักถึงเรื่องนี้จึงทำการสำรวจต่อแล้วก็พบว่า “เด็กและเยาวชน 7 ใน 10 คนมีสุขภาพจิตย่ำแย่” อันเป็นผลกระทบจากโควิด-19 ระบาดอยู่เช่นเดิมข้อมูลนี้สอดรับกับ “สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์” ระบุว่าเด็กวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี 10,000 คน โทร.สายด่วน 1323 ขอรับคำปรึกษา ปัญหาสุขภาพจิตมากที่สุด คือความเครียด ความวิตกกังวล ปัญหาความรัก ภาวะซึมเศร้าส่งผลกระทบสุขภาพ การเรียนรู้ สภาพสังคมการมีส่วนร่วมถูกจำกัดโอกาสพัฒนาเต็มศักยภาพประเด็นสาเหตุ “ความผิดปกติทางจิตนั้น” ส่วนหนึ่งมักมีต้นตอมาจากความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม ชุมชน โรงเรียน เพราะการใช้ชีวิตประจำวันในบางครั้งอาจมีเรื่องกระทบจิตใจ หรืออาจเป็นผลมาจากครอบครัวไม่สามารถใช้เวลาที่มีคุณภาพกับเด็กได้เพียงพอต่อการเลี้ยงดูทำได้ไม่เต็มศักยภาพทั้งยังมีเรื่องกังวลกับรายได้ของครอบครัว การเรียน การศึกษา การจ้างงานในอนาคต ทำให้ต้องมักคิดวิตกกังวลเล็กๆน้อยๆ จนเกิดการสะสมทับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดอารมณ์เครียดและเศร้าตามมา แล้วยิ่งกว่านั้น “เด็กกลุ่มเปราะบาง” มักต้องเผชิญความรุนแรง ถูกรังแก อยู่โดดเดี่ยว หรือเจอความไม่แน่นอนในอนาคต ตลอดจนวิตกกังวลครอบครัวแตกแยกแล้ว “เพื่อนฝูงในห้องเรียนล้อเลียน” ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจ “แต่กลับไม่สามารถเข้าถึงหลักบริการสุขภาพจิต” เพื่อหาทางออกช่วยให้จิตใจดีขึ้นได้ดังนั้น “ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่น” มักมีหลายสาเหตุผสมผสานบ่มเพาะสะสมหมักหมมในใจ ทำให้สุขภาพจิตแย่ลงกลายเป็น “โรคเครียด โรควิตกกังวล และโรคซึมเศร้า” แต่สังคมก็ไม่เคยรับรู้ในสิ่ง ที่เด็กกำลังเผชิญอยู่นั้น “ไม่ได้รับการช่วยเหลือรักษานำไปสู่คิดฆ่าตัวตาย” ที่มีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทว่าต้องเข้าใจว่า “พื้นฐานทางสังคมเด็กต่างกัน” ย่อมส่งผลให้วุฒิภาวะการจัดการตัวเองทำได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นทางออกที่ดีคือ “ควรมีเครื่องมือพื้นฐานแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นทั่วประเทศ” เพื่อรองรับ สุขภาพจิตให้แก่พวกเขาด้วย “รัฐบาล” ต้องจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เพื่อเข้าช่วยเหลือสนับสนุนดูแล “แก้ไขปัญหาสุขภาพจิต” ทั้งในเชิงนโยบาย และกฎหมาย รวมทั้งการบริการบำบัดรักษาจุดที่ยังมีช่องว่างสำคัญ อย่างเช่น การขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจำนวนจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ยังมีไม่เพียงพอในแต่ละหน่วยงานแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ... ด้านแรก...“ส่งเสริมสุขภาพจิต” ด้วยการบูรณาการให้เป็นส่วนหนึ่ง “นโยบายและแผนงาน” ในแต่ละหน่วยงานภาครัฐผ่านการศึกษา สวัสดิการสังคม การคุ้มครองเด็ก และกระบวนการยุติธรรม เพื่อเพิ่มหลักคุ้มครองเด็กจากความรุนแรง อันตราย และการเลือกปฏิบัติ แก้ไขปัญหาตีตราทางสังคมนั้นด้านที่สอง...“การป้องกัน” อันเป็นความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในด้านลบ ด้วยการดำเนินโครงการในระดับโรงเรียนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์แบบกลุ่มที่มีคุณภาพ และจัดการปัญหาความรุนแรง การกลั่นแกล้ง รวมถึงการปรับใช้หลักสูตรที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านสังคม อารมณ์ ความรู้ด้านสุขภาพจิตให้ครูและนักเรียนทั้งจัดกิจกรรมฝึกอบรมการเลี้ยงดูบุตรให้ความสำคัญกับการพัฒนาการ การเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรหลานโดยไม่ใช้ความรุนแรง และด้านที่สาม...“การบริการบำบัดรักษา” เสริมสร้างความเข้มแข็งในการค้นหา “เด็กมีปัญหาทางสุขภาพจิต” จากการคัดกรองทั้งในและนอกสถานพยาบาลฟรีเพื่อสร้างหลักประกันในการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพจิตที่มีคุณภาพอันเป็นมิตรต่อเด็กวัยรุ่นและครอบครัว รวมถึงการจัดให้มีบริการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตแบบเฉพาะทางโดยทีมสหวิชาชีพอีกด้วย“ที่ผ่านมาประเทศไทยดูแลด้านสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นได้ดี เพียงแต่ทำงานซ้ำซ้อนคาบเกี่ยวต่างคนต่างทำไม่เป็นเอกภาพ ไม่ว่าจะเป็นกรมสุขภาพจิต กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงศึกษาธิการ ฉะนั้นเราต้องดึงหน่วยงานเหล่านี้เข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อให้การดูแลสุขภาพจิตครอบคลุมมากยิ่งขึ้น” จักรพันธ์ว่า ตอกย้ำว่า “หน่วยงานด้านการศึกษา” ควรมีบทบาทเฝ้าระวังคัดกรองเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาสุขภาพจิต ผ่านการปรับปรุงการฝึกอบรมความช่วยเหลือให้แก่ “ครูแนะแนวในโรงเรียน” ในการพัฒนากลไกการประสานงานกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขเพราะครูมักเป็นคนแรกสามารถสังเกตเห็น “เด็ก” มีปัญหาสุขภาพจิตได้ดี ดังนั้น “โรงเรียนและสถานศึกษา” ต้องมีบทบาทในการดูแลเบื้องต้น และช่วยเหลือให้คำปรึกษาแก่ “เด็กมีปัญหาสุขภาพจิต” เพื่อมิให้ปล่อยผ่านไปโดยไม่ถูกแก้ไข มิฉะนั้นจะกลายเป็นผลกระทบในระยะยาวแน่นอนอย่าลืมว่า “เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า” สุดท้ายนี้เชื่อเหลือเกินว่า “ถ้าหากหน่วยงานภาครัฐดำเนินการตามข้อเสนอที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นนั้น” ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่นไทยจะดีขึ้น “การฆ่าตัวตาย ก็ลดน้อยถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ” อันส่งผลถึงสุขภาพจิตของเด็กที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตนี่คือข้อเสนอแนะ “ยกระดับการบริการด้านสุขภาพจิต” แก่เด็ก วัยรุ่นหรือประชาชนของประเทศให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ เพื่อลดปัญหาการฆ่าตัวตายทั้งปัจจุบันและในอนาคต...