แม้เทศกาลกินเจจะมีมานานกว่า 400 ปีแล้วในประเทศจีน และก็น่าจะกว่า 100 ปีไปจนถึง 150 ปีแล้วละที่เทศกาลกินเจเผยแพร่มาสู่ประเทศไทย โดยพี่น้องชาวจีนที่อพยพมาอยู่ภูเก็ต, ตรัง, พังงา และภาคใต้อีกหลายๆจังหวัดแต่ที่พัฒนาขึ้นมาเป็น “เทศกาลระดับชาติ” ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทั้งพี่น้องชาวจีนและชาวไทยทั่วประเทศ น่าจะประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมานี่เองไปไหนมาไหนทั่วไทยเราจะเห็นธงสีเหลืองมีคำว่า “เจ” เขียนด้วยอักษรจีนบ้าง อักษรไทยบ้างอยู่กลางผืนธง...ปักเต็มไปหมด ทั้งที่ตลาดสด, ซุปเปอร์มาร์เกต รวมทั้งร้านอาหารหลายๆร้านที่เปลี่ยนเมนูจาก “ปกติ” มาเป็นเมนู “เจ” ชั่วคราวในระหว่างเทศกาลที่น่าปลื้มใจก็คือ ในจำนวนประชาชนที่หันมากินเจกันมากขึ้นทุกๆปีนั้น...มีคนหนุ่มคนสาวและวัยรุ่นรวมอยู่ด้วยจำนวนมากผมเองแม้จะไม่เคยกินเจอย่างเป็นเรื่องราว ประเภท 9 วันเต็มครบทุกมื้อ อย่างเก่งก็แค่กินบ้างมื้อ 2 มื้อ เพราะเข้าไปในร้านอาหารแล้วหาอย่างอื่นรับประทานไม่ได้ ทำให้ต้องรับประทานอาหารเจด้วยความจำเป็นแต่ผมก็ชื่นชมเทศกาลนี้ด้วยความจริงใจ...รวมทั้งจะเขียนถึงอยู่เสมอแบบเต็มคอลัมน์บ้าง ไม่เต็มคอลัมน์บ้าง นับตั้งแต่ปีแรกๆที่ “เทศกาลกินเจ” ก้าวขึ้นมาเป็น “เทศกาลระดับชาติ” เรื่อยมาจนถึงปีนี้เหตุผลหลักก็เพราะเทศกาลกินเจนั้นเป็นเทศกาลแห่งความดีงาม... เทศกาลที่เตือนสติผู้คนให้คิดถึงคำว่าบาปบุญคุณโทษ ตลอดจนการสอนให้มีความรักความเมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปจนถึง “สรรพสัตว์” ร่วมโลกที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า เมื่อประเทศชาติพัฒนาขึ้น ผู้คนต้องแข่งกันกินแข่งกันใช้แข่งกันหาเงินมากกว่าในยุคก่อนๆ ก็อาจจะลืมคำสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่ซื่อสัตย์มากขึ้น และโลภอยากได้โน่นได้นี่มากขึ้น จนลืมศีลธรรมและความดีงามต่างๆประเทศไทยของเราก็เป็นไปตามกฎแห่งการพัฒนาข้อนี้เช่นกัน คือชักจะมีคนไม่ดีไม่งามมากขึ้นทุกขณะด้วยเหตุนี้การเกิดขึ้นของ “เทศกาลกินเจ” ซึ่งเน้นให้ผู้คนหยุดการทำบาป หันมาทำบุญเพื่อถวายต่อพระโพธิสัตว์เป็นเวลาถึง 9 วัน จึงมีส่วนอย่างมากในการช่วย “เบรก” สิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เป็นผลมาจากการพัฒนาและความเจริญเติบโตของบ้านเมืองอย่างน้อย 9 วันใน 1 ปีที่เรามี “ธงเหลือง” มาช่วยชำระจิตใจให้ ใสสะอาด น่าจะมีส่วนทำให้ความไม่ดีงามหลายๆอย่างลดลงได้ไม่มากก็น้อยจึงต้อง “ขอบคุณ” ใครก็ไม่รู้ หรือ “มือที่มองไม่เห็น” จากไหนก็ไม่รู้ที่ดลบันดาลให้ “เทศกาลกินเจ” อันทรงคุณค่าแต่นิยมกันอยู่ในวงแคบๆของพี่น้องชาวจีนโดยเฉพาะภาคใต้...สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเทศกาลงานบุญ “ระดับชาติ” ในที่สุดผมมั่นใจว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม ประเทศไทยเราจะเต็มไปด้วย “ธงสีเหลือง อักษรสีแดง” อีกครั้งหนึ่งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเพิ่งแถลงผลสำรวจออกมาว่า มีคนไทยถึง 66 เปอร์เซ็นต์ ที่ตอบว่าจะไม่กินเจด้วยเหตุผลต่างๆ และก็มีเพียง 34 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ยืนยันว่าจะกินเจเพราะเป็นเทศกาลแห่งบุญและตั้งใจจะทำบุญแต่ยอดใช้จ่ายและเงินสะพัดระหว่างเทศกาลกินเจปีนี้ก็จะสูงถึง 42,235 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วราวๆ 5.2 เปอร์เซ็นต์ และเป็นการเพิ่มปีแรกในรอบ 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมาทำให้สรุปได้ว่า แม้เปอร์เซ็นต์คนกินเจจะดูไม่มาก แต่เงินสะพัดกลับเพิ่มขึ้นมากพอสมควร ปีนี้จึงน่าจะเป็นปีที่คึกคักอีกปีหนึ่งเมื่อ 2 วันก่อน ไทยรัฐออนไลน์ นำบทสวดมนต์ก่อนกินเจมาลงไว้ เขียนเป็นภาษาไทยแต่ออกเสียงจีน พร้อมกับแนะนำว่า การสวดมนต์ดังกล่าวจะมีส่วนเสริมในการทำใจให้บริสุทธิ์และจะได้บุญมากขึ้นท่านที่สนใจเข้า “กูเกิล” ค้นหาได้เลยครับ โดยพิมพ์คำว่า “คำอธิษฐานก่อนกินเจ...ไทยรัฐ” จะได้มีบทสวดมนต์มาเป็นคู่มือในการท่องเพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์มากขึ้นขอให้ความสุขกายสุขใจอันเกิดจาก “ธรรมะ” และวัตรปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์ผุดผ่องในช่วงเทศกาลกินเจ 2565 จงเกิดขึ้นแก่ท่านผู้อ่านทุกๆท่านโดยทั่วกันนะครับ.“ซูม”